Tenkyou no Alderamin-TH:Volume 1 Chapter 1

From Baka-Tsuki
Jump to navigation Jump to search

จักรวรรดิเมื่อใกล้อัสดง[edit]

ในเขตแดนจักรวรรดิกตวรรณ สี่ฤดูแบบทั่วไปนั้นไม่มีอยู่ ที่นี่เป็นเขตร้อน

ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และแน่นอนฤดูหนาวนั้นไม่มีอยู่ มีเพียงช่วงที่โชกุนแห่งฤดูร้อนจู่โจมตีอย่างร้อนแรง กับช่วงที่ผ่อนมือลงเล็กน้อย จะบอกว่าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิครึ่งหนึ่งคือประวัติศาสตร์แห่งการสู้รบกับจอมคนผู้กล้าท่านนี้ก็ได้

ถึงอย่างนั้น ระหว่างลำต้นสูงยาวของต้นยาง--ร่างที่นอนบนเปลและหลับสนิทของใครคนหนึ่งอาจเป็นภาพของมนุษยชาติที่มีชัยเหนือโชกุนแห่งฤดูร้อนก็ว่าได้

“อิกฐา ตื่นเถอะ อิกฐา”

บนหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงตามลมหายใจยามหลับใหลของใครคนนั้น ‘บางสิ่ง’อันมีร่างเล็กน่ารักคล้ายเคียงกับมนุษย์ปีนขึ้นไปและเขย่าตัวอย่างรุนแรง ใบหน้าใหญ่กับแขนขาสั้น ทรงกลมตรงกลางตัวคือ ‘โพรงแสง’ สิ่งนั้นคือคู่หูของมนุษย์ หนึ่งในเสาหลักของจิตวิญญาณแห่งมหาธาตุทั้งสี่ ภูติแห่งแสงอย่างไม่ต้องสงสัย

“...อื่ม...อะไรกัน คุสุ... บอกไปแล้วว่าจะหลับไปตลอดพิธีฉลองเรียนจบไม่ใช่เหรอ...”

ดึงหมวกที่บังหน้าออก ใครคนนั้นยกภูติแห่งแสงที่ชื่อคุสุขึ้นด้วยสองมือ เป็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาง่วงเหงาหาวนอนกับผมสีดำนั่นเอง เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มบนตัวยับยู่ยี่แต่เพราะเหมือนจะเข้ากันกับหมวกทำให้คิดว่าอาจเป็นเครื่องแบบ

“ใช่ไง จบแล้วล่ะ”

“...หืม?”

ขณะจ้องภูติในอ้อมแขนขึ้นลง เด็กหนุ่มดวงตาง่วงงุน--อิกฐาเอียงคอ

“ถ้าเหตุการณ์เรียบร้อยเป็นไปตามกำหนดการ ตอนนี้พิธีสำเร็จการศึกษาของสถาบันการศึกษาในพระราชูปถัมภ์เซกัลครั้งที่ 131 น่าจะเพิ่งจบไป ตอนนี้เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างนักเรียนที่สำเร็จการศึกษากับผู้ปกครอง ถ้าไม่ไปกินจะดีเหรอ?”

ได้ยินอย่างนั้นอิกฐาเลื่อนสายตาขึ้นไปมองฟ้า และใช่เลยเมื่อเทียบกับตอนที่มองก่อนจะหลับไปนั้น ดวงอาทิตย์ขยับไปสูงกว่าเดิมแล้ว จากที่เห็นคงผ่านเที่ยงวันไปแล้ว

“ไม่ดีจริงๆนั่นแหละถ้าข้ามมื้อที่ตั้งตารอมานานนี้ไป”

ขยับตัวลงจากเปลอย่างเชื่องช้า อิกฐายืนบนพื้นแล้วบิดขี้เกียจเต็มแรง กระดูกสันหลังลั่นกร๊อบ จากที่ง่วงก็ตื่นเต็มตาในตอนนี้ และความหิวกระหายจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน

“อุ๊บ ปวดหัวจัง... เสียเหงื่อมากไปหน่อยหรือเปล่านะ”

“เพราะนอนกลางอากาศร้อนขนาดนี้นานเกินไปน่ะสิ ไปแวะดื่มน้ำที่บ่อกันก่อนเถอะ”

อิกฐาเอาร่างของคุสุที่คอยให้คำแนะนำไปยังกระเป๋าพิเศษที่ติดอยู่ข้างเอวและให้ซุกอยู่ในนั้น สำหรับภูติที่เดินเท้าได้เชื่องช้า นั่นเป็นที่ประจำระหว่างการเดินทางไปโดยปริยาย

“ไม่ล่ะ ทนสักหน่อยดีกว่ามั้ง แค่วันนี้เท่านั้น เพราะมันน่าเสียดายที่จะแก้กระหายด้วยน้ำเปล่าธรรมดา”

หลังจากปลดเปลออกจากต้นไม้อย่างรวดเร็วแล้ว แม้จะขมวดคิ้วเพราะปวดศีรษะ อิกฐาเริ่มวิ่งฝ่าป่าออกไปอย่างแข็งขัน


“ฉันยาค ผู้ฝึกสอนวิชาพลศึกษา ยินดีด้วยนะที่สำเร็จการศึกษา มิสอิกเสม การสอบคัดเลือกเป็นนายทหารชั้นสูงใกล้จะมาถึงแล้วสินะ ถ้าเป็นเธอคิดว่าคงผ่านแน่นอน แต่อย่าประมาทล่ะ?”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ ผู้ฝึกสอนยาค จะเอาสิ่งที่เรียนมาจากที่นี่ไปใช้ในการสอบให้ดีที่สุดค่ะ”

หลังจบพิธีสำเร็จการศึกษา ปาฐกถายาวนานของประธานสถานศึกษาร่วมมือกันอย่างมั่นเหมาะกับอากาศร้อนระอุ ได้ส่งนักเรียนแปดคนไปยังห้องพยาบาลแล้ว ในที่สุดก็เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันในห้องโถงขนาดใหญ่ตามกำหนดการ ตอนนี้เด็กสาว ยาโทริชิโนะ อิกเสมยังไม่ได้รับประทานอะไรเลย และต้องลิ้มรสความน่ารำคาญของการเป็นนักเรียนดีเด่น

“โอ้ ยาโทริชิโนะคุง ยินดีด้วยนะที่สำเร็จการศึกษา ฉันโคบัคจากฝ่ายแนะแนว ได้ที่หนึ่งของปีสมกับที่คาดไว้จริงๆ ตั้งใจจะเอาที่หนึ่งในการสอบเป็นนายทหารชั้นสูงด้วยหรือเปล่า?”

“ขอบคุณค่ะ ผู้ฝึกสอนโคบัค จะทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้สมกับความคาดหวังค่ะ”

--ไม่ต้องให้พวกคุณบอกนักเรียนดีเด่นก็เข้าใจอยู่แล้ว ดังนั้นปล่อยฉันไปสักทีได้แล้ว!

ระหว่างทนกับการต้อนรับที่ไม่น่ายินดี ที่จริงแล้วในใจของเธอคิดอย่างนั้นซ้ำไปมา

ถ้ามาเพื่อแสดงความยินดีที่เรียนจบก็ดี แต่นอกจากถ้อยคำแสดงความยินดี แต่ละคนใส่ชื่อของตัวเองลงไปด้วย เธอจึงรู้สึกไม่ดีใจอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนั้นส่วนใหญ่คือกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับยาโทริในช่วงที่เรียนอยู่นั่นเอง

เพราะกลัวว่าจะถูกลืม พวกเขาจึงพยายามสร้างความประทับใจแม้จะเล็กๆน้อยๆก็ตาม เป็นความคิดงี่เง่า แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับนักเรียนดีเด่นที่มีทั้งความเฉลียวฉลาดและกล้าหาญ เธอได้แต่ตอบรับด้วยมารยาทงาม

“โอ้ เอาล่ะ! ไอศกรีมรอบที่สองมาแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของนักเรียนใกล้ๆ หูของยาโทริกระดิก...ไอศกรีม!

เพื่อให้สมกับเป็นการฉลองพิธีจบการศึกษาของสถานศึกษาในราชูปถัมภ์ อาหารอย่างดีเหมาะกับพิธีการวางเรียงบนโต๊ะในห้องโถง ปลาทอดเครื่องแกง, ซุปเนื้อต้มกับพริกกองเท่าภูเขา, ข้าวหุงกับพริกแกงที่อาจทำให้เผ็ดตายได้ รสแห่งเครื่องเทศซึ่งใช้เพื่อฆ่าเชื้อ, เพิ่มรสชาติ, และเร่งอัตราการดูดซึมอาหาร เป็นลักษณะเด่นของอาณาจักรกตวรรณ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยาโทริคุ้นชินอยู่แล้วจึงไม่ว่าอะไร

แต่ว่าตอนนี้เพิ่งออกมาจากปาฐกถายาวนานของประธาน กำลังเสียเหงื่ออย่างมาก ริมฝีปากแห้งผากและร้อนกว่าเดิมสองระดับ ในเวลาอย่างนี้ระหว่างการรับประทานอาหารเผ็ดจี๋ที่เร่งการดูดซึม → รับความเย็นสดชื่นและทานของหวาน จะทนฝืนไปมากกว่านี้ทำไม ร่างกายของยาโทริต้องการ ‘ความเย็น’ เข้ามาตรงๆ

หาทางจบการสนทนากับบรรดาผู้ฝึกสอนอย่างเหมาะสมแล้ว เธอหันไปยังที่มาของเสียงตอนแรกและเริ่มเร่งฝีเท้า ไอศกรีม-- เป็นเสียงที่น่าฟังที่สุดสำหรับใครก็ตามในประเทศนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้เลย ในอาณาจักรที่ไม่มีหิมะและลูกเห็บอย่างกตวรรณ สิ่งเดียวที่ผลิตอัญมณีมีค่าชื่อว่าน้ำแข็งได้นั้นคือเหล่าภูติน้ำ ทั้งยังไม่อาจผลิตได้ทีละมากๆ และส่วนใหญ่ก็ใช้ในการลดความร้อนในอุตสาหกรรม ‘การกินน้ำแข็ง’ อันฟุ่มเฟือย เป็นความสุขที่จะได้รับเฉพาะในวันพิเศษสำคัญ

หลายมือมารับไป ปริมาณที่เหลืออยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ ข่มแรงกระตุ้นให้ออกวิ่งไว้แล้วได้แต่ภาวนาไม่ให้หมดก่อนจะไปถึง ในที่สุดยาโทริก็มาถึงตรงหน้าจาน

เธอถอนหายใจทันที ไอศกรีมบนจานใบโตเหลืออยู่น้อยนิด ถ้าหากขูดมารวมกันแล้วใส่ในจานเล็กก็จะเหลือพอสำหรับหนึ่งคน ทันเฉียดฉิว... จินตนาการถึงความเย็นไหลลงคอ เธอแตะช้อนแบ่ง...

“อ๊ะ” - “อ๊ะ”

นิ้วที่แตะด้ามช้อนซ้อนกับนิ้วของเด็กหนุ่มที่เอื้อมมาพร้อมกัน

“...อิกฐา”

“ไง ยาโทริ ยินดีด้วยที่สำเร็จการศึกษานะ ได้ที่หนึ่งตามคาด ภูมิใจจังเลยที่ได้อยู่ปีเดียวกัน”

ขณะชมแบบขอไปที เด็กหนุ่มผมดำบีบด้ามช้อนแน้นเข้าอย่างดื้อดึง ยาโทริก็ทำแบบเดียวกัน ช้อนถูกแย่งไปทางซ้ายทีขวาที ทั้งสองคนเตรียมจะสู้กันต่อหน้าจาน

“...นายน่ะ ตอนพิธีจบการศึกษาก็ไม่มานะ”

“ขอโทษนะ หัวใจผมอยู่กับทุกคนเสมอ”

“หัวใจประหลาดที่แยกจากร่างกายได้ง่ายๆน่ะไม่สนหรอก แล้วตัวล่ะอยู่ไหน?”

“นอนหมดแรงในป่าหลังโรงเรียนน่ะ อดห่วงไม่ได้เลยว่าปีนี้มีคนเป็นลมไปกี่คน”

“เท่าที่ได้ยินมาคือแปดคน...สรุปว่า นายโดดพิธีสำเร็จการศึกษาด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ แล้วมาโผล่หน้าในงานเลี้ยงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”

“มันเพราะอย่างนี้ วันนี้ที่หอไม่จัดอาหารให้ไงล่ะ ถึงจะโดดพิธีจบการศึกษาได้แต่ไม่มาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้หรอก”

“ข้ออ้างของนายไม่เข้าท่าเลย ยังไงก็เถอะ กรุณาเอามือนั่นออกไป”

อิกฐาส่งยิ้มชั่วร้ายให้ยาโทริที่สั่งเสียงเฉียบ

“นักเรียนอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงกลับไม่ยอมยกไอศกรีมให้คนอื่นแม้แต่จานเดียวงั้นเหรอ...”

“อึ๊ก”

“ผมผิดหวังนะ... พวกผู้ฝึกสอนก็คงรู้สึกไม่ดี ธิดาคนโตของตระกูลอิกเสมทำตัวน่าอายถึงขั้นนี้...”

เกียรติภูมิของตระกูลถูกดึงมาอ้าง เรี่ยวแรงหายไปจากมือของยาโทริ อิกฐาผู้แย่งช้อนตักไอศกรีมมาได้สำเร็จ ตักไอศกรีมใส่จานอย่างกระหยิ่มใจ

“สมเป็นยาโทริชิโนะ อิกเสม ศักดิ์ศรีสูงเท่าขุนเขา จิตใจกว้างใหญ่เท่ามหาสมุทร ผมมีเพื่อนที่ดีจริงๆ ---โอ๊ย!?”

ตอนที่เอาจานที่ถูกตักเต็มแล้วเข้ามาใกล้ตัว อาการชาแล่นปราดขึ้นตามแขนซ้ายของอิกฐา ยาโทริปล่อยหมัดกระแทกใส่เส้นประสาทตรงข้อศอกเขาอย่างรวดเร็วไม่มีใครเห็น คว้าจานที่หลุดจากมือของอิกฐาไว้ได้อย่างงดงามแล้วยึดเป็นของตัวเอง ยาโทริส่งรอยยิ้มของผู้ชนะให้

“ขอบคุณที่อุตส่าห์ตักให้นะอิกฐาคุง เลดี้เฟิรสต์เป็นสิ่งที่สุภาพบุรุษทำสินะ”

“...เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชม”

อิกฐาฝืนใจตอบพลางคลำข้อศอกป้อยน้ำตาคลอ


“...อื้มมมม”

ความหวานเย็นแผ่กระจายในปาก กลิ่นของอบเชยแตะจมูก สัมผัสของไอศกรีมที่ละลายเพราะอุณหภูมิในร่างไหลผ่านคอ ยาโทริสั่นสะท้านกับสัมผัสเหล่านั้นขณะถือช้อนค้างไว้ในปาก

“ฟื้นคืนชีพแล้ว เลิศที่สุดเลยนะ ไอศกรีมเนี่ย”

“ใช่ไหมล่ะ ส่วนผมด้านนี้ร้อนและใกล้ตายแล้ว ไม่สิ ผมตายไปนานแล้ว”

อิกฐาถือแก้วดินเผาใส่เครื่องดื่มไว้ในมือ ห่อตัวอยู่บนม้านั่งตัวยาวที่วางตรงมุมหนึ่งของลานสังสรรค์ เหล่มองยาโทริที่กำลังอารมณ์ดีอย่างขุ่นใจ

“มากไปนะ เหล้าลูกตาลก็เย็นไม่ใช่เหรอ?”

“แอลกอฮอล์เจือจางและบ่มไม่นานพอ ด้วยเหตุนี้ ผมไม่ขอเรียกของแบบนี้ว่าเหล้า”

แม้จะพูดอย่างนั้น อิกฐาก็ดื่มจนหมดแก้วแล้วเติมจากเหยือกเหล้าลูกตาลใบใหญ่ที่วางบนม้านั่งใหม่อีกหลายครั้ง เมื่อความกระหายหมดไป คราวนี้เขากลับมาพร้อมอาหารจากโต๊ะเต็มอ้อมแขนแล้วเริ่มกินเอากินเอา

“งั่ม...งั่ม... ...รสชาติแย่ลงทุกปี... งั่ม... ปริมาณก็น้อยลงด้วย...”

“ไม่เกรงใจเลยนะ ถ้ากินซะขนาดนี้แล้วก็อย่าบ่นสิ”

“...ฮืม... ถ้าคิดว่านี่เป็นปาร์ตี้ของสถานศึกษาในพระราชูปถัมภ์ อาหารที่เอามาเสิร์ฟเทียบได้กับหน้าตาของจักรวรรดิเอง ความจริงที่ว่ามันเสื่อมถอยลงนี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งรู้ไหม ยาโทริคุง”

“เงียบเถอะ ไม่เหมือนนายที่แอบเข้ามาทุกปีนะ นักเรียนคนอื่นร่วมงานนี้ครั้งเดียวดังนั้นเรื่องอย่างคุณภาพอาหารไม่ใช่สิ่งที่จะสนใจหรอก”

พูดพลาง ยาโทริยกไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปากอย่างเสียดายนิดๆ เธอเหม่อมองไปที่โต๊ะแต่ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะมีมาเพิ่ม คำพูดของอิกฐาผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้

“เวรเอ๊ย ปีนี้คงไม่มีไอศกรีมแล้ว ห้องครัวผลิตน้ำแข็งได้เองอยู่แล้ว แต่ราคานมกับน้ำผึ้งที่ใช้ราดน้ำแข็งนี่สิ ดูเหมือนปีนี้จะพุ่งพรวดตั้งแต่ต้นปี”

บ่นแล้วอิกฐาก็กระดกเหล้าลูกตาลดื่มอย่างเศร้าใจ คุสุ คู่หูที่อยู่ในกระเป๋าคาดเอวของเขาเหลือบตาขึ้นอย่างกังวล

“อิกฐา ดื่มเอาดื่มเอาอย่างนั้น ไม่ดีต่อร่างกายนะ”

“จริงด้วยคุสุ โอกาสที่จะได้ดื่มจนไม่ดีต่อร่างกายนี่น้อยมากเลยนะ”

ระหว่างดูทั้งสองโต้ตอบกันอย่างเคย ยาโทริเอามือไปที่สะโพกขวาเสียอย่างนั้นแล้วลูบหน้าคู่หูที่อยู่ในกระเป๋า ตรงมือทั้งสองมี ‘ท่อเพลิง’ เป็นภูติแห่งไฟสีแดงเข้ม เชีย

“ลำบากเหมือนเคยเลยคุสุ เชียก็เป็นห่วงนะ”

“ขอบคุณมากเลยยาโทริ เชียโชคดีมากที่ได้เจ้าของมีความรับผิดชอบ”

“เห็นด้วย”

พูดแค่นั้นแล้วถอนหายใจ เชียกลับไปเงียบต่อ ดูเย็นชาแต่เทียบกันแล้วนี่เป็นปกติของภูติมากกว่า นิสัยของภูติจะปรับเปลี่ยนโดยอิทธิพลของเจ้าของ แต่ประเภทที่ความสามารถในการสื่อสารสูงขนาดคุสุนี่หายาก และภูติที่อยู่กับทหารมักจะมีแนวโน้มไปทางพูดน้อยเป็นพิเศษ

“อ้า ยาโทริซามะ ยินดีที่จบการศึกษาเป็นที่หนึ่งของชั้นปี!”

เมื่อเห็นยาโทริ นักเรียนหกคนออกจากกลุ่มคนมาแสดงความยินดี ไม่มีทางปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเย็นชา ด้วยวิธีการแบบเดียวกับที่ใช้รับมือกับผู้ฝึกสอนเธอส่งยิ้มเป็นคำตอบ

“ขอบใจ แล้วก็ยินดีด้วยที่สำเร็จการศึกษานะทุกคน”

เมื่อมีเสียงตอบจากยาโทริ บรรดานักเรียนที่มาคุยด้วยไม่ว่าหญิงหรือชายต่างตื่นเต้นดีใจ ปลายผมสีแดงที่ม้วนเข้าม้วนออกยาวเลยไหล่ ดวงตากลมโตแสดงความเฉลียวฉลาดจริงใจ เครื่องแบบสวมใส่อย่างมีสไตล์และไม่ยับเลยแม้จะอากาศร้อน นี่คือความสง่างามที่ถ่ายทอดออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม

ด้วยความเก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น รวมกับประวัติส่วนตัวคือเป็นผู้สืบสกุลของตระกูลอิกเสมที่โด่งดังในกลุ่มทหารเก่าแก่ ยาโทริชิโนะ อิกเสม ทั้งถูกคาดหวังไว้สูงและได้รับความเคารพจากนักเรียนในชั้นยิ่งกว่าใคร... แต่ถึงขั้นที่ทำให้คนที่ไม่คู่ควรให้คบหาจะยิ่งเป็นจุดสนใจ

“เอ่อ บางที กำลังมีธุระกับอิกฐา โซลอคหรือคะ?”

แน่แล้ว ที่ดื่มเอาๆอยู่บนม้านั่งข้างกันมี ‘คุณคนที่ไม่น่าคบหา’ อยู่ เด็กสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นแล้วกระซิบถามยาโทริเสียงเบา

“เอ๋ เปล่า แค่คุยกันนิดหน่อยน่ะ”

“คนเหลวไหลแบบนี้ อย่าไปยุ่งด้วยดีกว่า ความโง่มันติดกันได้”

ยาโทริเพียงส่งยิ้มว่างเปล่าให้กับคำวิจารณ์รุนแรงนั้น เด็กสาวขยับเข้าไปใกล้ใบหูกว่าเดิม

“...อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่มีข่าวลือว่าหมอนั่นก็เข้าสอบเป็นนายทหารชั้นสูงเหมือนกัน ถึงจะคิดว่าคงสอบตกทันทีแน่นอน แต่ระวังอย่าเสียสมาธิเพราะเขานะคะ”

กับคำพูดนั้น ยาโทริกลั้นเสียงหัวเราะหยันไว้ได้อย่างสมเป็นท่านยาโทริ แล้วเด็กสาวก็เปลี่ยนเรื่อง

“ยังไงก็เถอะ ยาโทริซามะ จะได้เข้าสงครามในฐานะแม่ทัพเมื่อไหร่เหรอคะ?”

ในเมื่อยังไม่ทันได้สอบเลย ถึงจะรีบยังไงก็ต้องมีขอบเขตบ้าง แต่แน่นอน โดยไม่เปิดเผยความรู้สึกแท้จริง ยาโทริตอบคำถามไร้เดียงสานั้นอย่างสุภาพ

“ยังพูดอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ปกติหลังจากผ่านการฝึกสักสี่ห้าปีแล้วจึงจะได้ลำดับยศ จากนั้นถึงจะมีสิทธิ์เป็นนายทหารน่ะ”

“สี่ปี...ถ้าเป็นยาโทริซามะอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ แต่อาจจะไม่ทันเวลาหรือเปล่านะ”

“ไม่ทันเวลา...พูดอะไรอยู่เหรอ?”

เมื่อยาโทริเอียงคอและขอคำอธิบาย คราวนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งด้านหลังตอบ

“เธอคนนี้มีญาติๆอยู่ด้านตะวันออกของกตวรรณน่ะ เฮ้ ตอนนี้ที่มั่นด้านตะวันออกของประเทศเรากำลังต่อต้านการบุกของสาธารณรัฐคิโอก้าอยู่ใช่ไหม”

“ใช่ๆ ยาโทริชิโนะซังเคยพูดนี่ว่าถ้าได้ไปเป็นกองหนุนคงสนุกดี”

เด็กหนุ่มอีกคนเสริม พวกเขาพูดต่อโดยไม่ได้สังเกตว่ายาโทริไม่พูดอะไร

“แต่ว่านะ ถ้าทำอย่างนั้นจริง ต่อให้เป็นทหารของสาธารณรัฐก็ต้องเลิกบุกแล้ว อย่างไรเสียที่ป้อมตะวันออกก็มีท่านนายพลฮาซาฟ ริคันบังคับบัญชาอยู่ ท่านลำบากนิดหน่อยเพราะยังไม่รู้จักหน่วยรบใหม่ดี แต่อีกไม่นานท่านจะควบคุมสถานการณ์ได้...”

“ให้ญาติรีบหนีออกมา เขตตะวันออก ไม่เกินหนึ่งเดือนจะตกอยู่ในมือของกองทัพคิโอก้า”

ในระหว่างการสนทนา อิกฐาพูดแทรกขึ้นมาทื่อๆ ข้อความที่เป็นลางร้ายทำให้พวกเด็กสาวเลิกคิ้ว

“...เดี๋ยว หมายความว่ายังไงที่พูดนั่น”

“ที่พูดคือ ที่มั่นทางตะวันออกจะล่มลงและแถบนั้นทั้งหมดจะถูกครอบครองโดยสาธารณรัฐคิโอก้า น่าเห็นใจนายพลริคัน ถ้าเขาไม่ถูกปลอกคอรัดแน่น ผลลัพธ์แบบนั้นก็ไม่จำเป็นเลย”

“ฟังเฉยๆไม่ได้แล้ว อิกฐา โซลอค ที่มั่นตะวันออกกำลังต้านทานการบุกของพวกป่าเถื่อนเต็มที่ ทั้งที่เป็นอย่างนั้นทำไมแกถึงสรุปว่าจะแพ้?”

“เชื่อมั่นในชัยชนะไม่หวั่นไหวจะนำมาซึ่งชัยชนะ ขี้แพ้อย่างนายคงไม่เข้าใจ”

กลุ่มที่โต้เถียงกับอิกฐาเป็นนักเรียนที่ตัดสินใจจะเข้าร่วมกับกองทัพหลังเรียนจบ รากฐานของพวกเขาคือการเชื่อมั่นอย่างมืดบอดตามกองทหารของประเทศตน เรียกการโยนความคิดของตนทิ้งไปนี้ใหม่ว่า ‘เชื่อมั่นในชัยชนะไม่หวั่นไหว’ ถึงขนาดมองสถานการณ์รบในด้านตะวันออกในแง่ดีเข้าขั้นโง่เง่า

“ได้ยินข่าวลือว่าจะเข้าทดสอบเป็นนายทหารชั้นสูงด้วยนี่ เฮอะ เมาเหรอ ก่อนจะคิดว่าผ่านไม่ผ่าน คิดก่อนเถอะว่ากองทัพต้องการคนขี้ขลาดอย่างนายหรือเปล่า หืม ‘อิกฐาจอมอู้’”

“เอาแต่โดดทั้งคาบเรียนคาบฝึกปฏิบัติ สิ่งที่ทำระหว่างนั้นก็มีแต่ นอนกลางวัน อยู่เฉยๆ ตกสาว ตัวอย่างอย่างดีของการเป็นคนไม่มีประโยชน์ นั่นแหละนายล่ะ อิกฐา โซลอค”

“ดูสิ พูดไม่ออกเลย”

อิกฐาแกล้งครางด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ท่าทางเช่นนั้นดูจะทำให้บรรดาเด็กหนุ่มฉุนเฉียวมากขึ้น กำลังจะกล่าวโทษมากกว่าเดิมแต่เสี้ยววินาทีนั้นยาโทริแทรกเข้ามากอบกู้สถานการณ์

“เอาล่ะทุกคน พอแค่นี้เถอะ วันนี้เป็นวันที่น่ายินดี เลิกทะเลาะกันแล้วมาสนุกกันดีกว่า”

ท่ามกลางทุกสิ่งนี้ คำพูดของยาโทริเพียงดึงความอดกลั้นออกมาจากทุกคนเท่านั้น เมื่อพวกเขาจากไปพร้อมท่าทางค่อนข้างไม่พอใจ ยาโทริที่ยังอยู่ที่เดิมถอนหายใจแล้วเริ่มถามเด็กหนุ่มข้างๆ

“...ต้องล้มลงจริงๆเหรอ? ที่มั่นทางตะวันออก"

“คิดว่านักมวยที่ทำได้แต่ป้องกันหมัดจะชนะไหมล่ะ?”

ตัวอย่างที่อิกฐายกมาเรียบง่ายและเฉียบคม เทเหล้าลูกตาลลงในแก้ว เขาพูดต่อ

“ถ้าคิดดีๆมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ทันทีเลยไม่ใช่เหรอ ข้อหลักเลย ทำไมจนตอนนี้แล้วที่มั่นทางตะวันออกยังต้องสู้อยู่ตรงแนวปะทะอีก? ‘ป้อมปราการ’ เป็นฐานที่มั่นของกองทหารในท้องที่ในช่วงไม่มีสงคราม ในเมื่อตั้งแต่กองทัพคิโอก้าบุกมาก็นานกว่าสามเดือนแล้ว ถ้าคิดจะชนะจริงๆ การไม่ส่งกำลังทหารจากทางการไปแทนที่ ‘กองทหารประจำท้องที่ภาคตะวันออก’ เสียทีนี่มันแปลกนะ”

ป้อมปราการเป็นองค์กรที่สร้างขึ้นเพื่อยืนหยัด เนื่องจากไม่มีความสามารถในการเคลื่อนทัพ จึงมีพลังในการป้องกันแต่ไม่มีพลังในการจู่โจม ‘นักมวยที่ได้แต่ป้องกันหมัด’ อย่างที่อิกฐายกตัวอย่าง กองทัพที่ไม่มีความสามารถในการจู่โจมเพราะเหตุผลนี้กำลังอยู่ในความกดดันของการตั้งรับที่ไม่อาจคาดการณ์ได้

“การตั้งรับโดยไม่จู่โจมเลยไม่มีหวังได้ชัยชนะเป็นพื้นฐานของพื้นฐานของหลักการศึก เพราะแค่เผลอนิดเดียวก็แพ้แล้ว ที่มั่นตะวันออกใกล้จะเป็นแบบนั้น...ไม่สิ อาจจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะกองทัพคิโอก้าเพิ่งส่งหน่วยรบใหม่มาผ่านการป้องกันด้านนี้มาสร้างความเสียหายได้”

“...หน่วยจู่โจมทางอากาศสินะ จริงด้วย นั่นเป็นอันตรายที่จักรวรรดิไม่ได้คาดเดามาก่อน”

ยาโทริพยักหน้าอย่างหนักใจ ---หน่วยจู่โจมทางอากาศ คือหน่วยรบใหม่ของกองทหารคิโอก้า เป็นการรวมทหารจำนวนนับไม่ถ้วนขับเรือเหาะ พวกเขาผ่านชายแดนจากกลางฟ้าและบุกเข้าเขตแดนของจักรวรรดิ ทิ้งน้ำมันไฟจำนวนมากใส่เมืองและสิ่งก่อสร้างของกองทัพซึ่งส่งผลให้การส่งกำลังบำรุงช้าลง

เพราะเรือเหาะอยู่สูงเกินไป ด้านจักรวรรดิจึงยังไม่มีมาตรการตอบโต้กับหน่วยจู่โจมทางอากาศ จากที่สูงที่ไม่มีกระสุนปืนและลูกธนูสามารถยิงไปถึง ฝ่ายนั้นจึงสามารถสร้างความเสียหายให้จักรวรรดิต่อไป ความเสียหายที่สะสมมากขึ้นทำให้ทหารเดินเท้าของที่มั่นด้านตะวันออกเสียเปรียบ

“ตั้งแต่แรกที่หน่วยจู่โจมทางอากาศทิ้ง ‘ระเบิดจากฟ้า’ ลงมา จนตอนนี้มีเมืองถูกไหม้ไปเท่าไหร่แล้ว... ไม่สิ ถ้าแค่ที่อยู่อาศัยถูกเผาก็ยังดี นี่ผลผลิตจากไร่นา ยุ้งฉางก็ถูกเผา เมืองจึงไม่มีอาหาร และกองทหารก็เช่นกัน ดูจากอาหารวันนี้แล้ว ทางนั้นคงเข้าสู่สภาวะขาดแคลนแล้ว”

“แต่เสบียงจากส่วนกลางน่าจะส่งไปแล้วนะ”

“ด้วยปริมาณมากพอแจกจ่ายให้พลเมืองที่บ้านถูกเผาจากการจู่โจมทางอากาศเหรอ? ไม่มีทาง ส่วนกลางไม่มีมากเหลือล้นขนาดนั้นแน่ สมมตินะ ต่อให้ส่งไปจะส่งไปได้ตลอดเหรอ ในเมื่อไม่มีความตั้งใจจะเอาชนะสงครามหลัก?” พูดแล้ว อิกฐาขดตัวนอนบนม้านั่ง เหมือนทุกสิ่งที่พูดมาบ้าบอสิ้นดี

“ยิ่งกว่าทั้งหมดนั่น น่าสงสารผู้บัญชาการฐานทัพ ฮาซาฟ ริคันคนนั้น บังคับบัญชาสงครามที่ต้องแพ้ต้องขมขื่นแน่ๆสินะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะความไม่เอาใจใส่ของจักรวรรดิกับรัฐบาลที่ไม่คิดจะสู้จริงๆ--”

“พอแค่นี้เถอะ อิกฐา ตรงนี้ไม่เหมาะนะ”

กังวลว่าจะมีคนแอบฟัง ยาโทริเตือนอิกฐา ราชวงศ์กตวรรณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามล่วงเกิน ยิ่งอยู่ในยามสงครามเช่นนี้ การพูดวิจารณ์คล่องปากเป็นสิ่งที่ไม่สมควรยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสายเลือดของตระกูลอันโด่งดังในกองทัพเก่าแก่อย่างยาโทริร่วมด้วย ด้วยความรับผิดชอบนี้จึงไม่อาจพูดไม่คิดได้

“อย่างแรกเลย แทนที่จะพูดถึงเรื่องสงครามที่เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ตอนนี้เรามีเรื่องที่เป็นรูปธรรมกว่าต้องคุยกันใช่ไหม?”

“หืม อ้า งานฉลองเรียนจบเย็นนี้? อยากสนุกให้เต็มที่จัง จะไปดื่มที่ไหนดีนะ?”

“ก็ดื่มซะเต็มที่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง! ฉันหมายถึงการสอบนายทหารระดับสูง!”

หยิกแก้มคุสุเล่น อิกฐาทำหน้าเบ้เหมือนกลืนแมลงเข้าไป

“อ้า...ยังมีอีเวนท์น่าหดหู่นั่นอยู่...”

“ต่อให้ไม่ชอบก็ต้องเข้าร่วมนะ จริงๆเลย เข้าใจใช่ไหมว่ามันสำคัญ?”

ขยับไปใกล้ใบหน้าของอิกฐาขณะที่เอนตัวลง ยาโทริกระซิบเสียงเบาไม่ให้รอบข้างได้ยิน

“...ด้วยเส้นของตระกูลอิกเสม ตำแหน่งบรรณารักษ์ในหอสมุดแห่งชาติของเมืองหลวงถูกเตรียมไว้ให้นายแล้ว แลกกับการที่นายต้องเข้ารับการทดสอบนายทหารระดับสูงพร้อมกันและสู้เพื่อฉันในการทดสอบรอบที่สอง นายตกลงแล้วด้วยนี่นา”

“แน่อยู่แล้ว เพราะตำแหน่งบรรณารักษ์ในเมืองหลวงเป็นที่ปลดเกษียณสำหรับพวกขุนนาง ให้ยืมความสนุกสนานหลากประเภทกับคนสมองว่างเปล่าที่รวยและว่างงาน ซ่อมแซมหนังสือเรียนฝุ่นจับน่าสงสารเป็นครั้งคราว... ทำแค่นั้นแล้วก็ได้เงินเดือนและไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องแล้ว สำหรับผมนั่นเป็นสิ่งสูงสุดเอื้อม แต่เป็นแผนสกปรกไม่สมกับเป็นยาโทริเลย ถ้าเป็นเธอไม่ต้องมีผมช่วยก็ต้องผ่านแน่อยู่แล้ว?”

“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ถ้าทั้งหมดที่ต้องทำคือผ่านการสอบ อย่างนั้นฉันจะสู้ด้วยมือข้างเดียวเลย แต่ว่าผลลัพธ์สำหรับธิดาคนโตของตระกูลอิกเสมไม่ใช่แค่นั้น ผ่านอย่างยอดเยี่ยม ‘เป็นอันดับหนึ่ง’ เป็นสิ่งจำเป็น”

“ความยอดเยี่ยมอะไรนั่น ตอนอยู่ที่สถาบันนี้เธอไม่ทำอะไรนอกจากครอบครองอันดับหนึ่งทุกเรื่องไปแล้วไม่ใช่เหรอ ส่งมันให้กับคนอื่นบ้างก็ดีนะ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่อยากนั่งตำแหน่งที่หนึ่ง”

“ดูพูดเข้า คราวนี้จะไม่ใช่เพราะนายไม่มานั่ง เลยมีเพียงฉันที่ได้นั่งแล้วนะ”

ฟังเช่นนั้น อิกฐานั่งเหม่อ อาจเป็นเพราะอากาศร้อนด้วยจึงหยิบเปลือกหอยตลับที่กินเสร็จแล้วมาวางบนศีรษะทีละตัวๆ ยาโทริเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“...เดี๋ยวสิ นั่น กำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

“ตั้งเบี้ยไว้สูงเกินไป”[1]

โดยไม่ออกความเห็นใดๆ ยาโทริปัดเปลือกหอยตลับลงจากศีรษะของเด็กหนุ่ม

“...ยังไงก็เถอะ! นายเป็นประเภทไม่ยอมใช้ความสามารถที่ซ่อนไว้ถ้าไม่มีเหตุผลจำเป็นพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบนี้ ดูเหมือนลูกคนสุดท้องของตระกูลเรเมียนจะเป็นผู้เข้าสอบที่แข็งแกร่ง ไม่มีคำว่าระมัดระวังเกินไปหรอก ยาโทริชิโนะ อิกเสม จะจารึกก้าวแรกในการเข้าสู่โลกของทหารด้วยการเหยียบนายเข้าไป”

“ก็นะ ดีเหมือนกัน จากที่ได้ยินมา ผู้เข้าสอบร่วมมือกันในการสอบรอบสองไม่ใช่เรื่องแปลก การเข้าสู่สนามรบและเตรียมกำลังรบไว้ก่อนเป็นพื้นฐานของพื้นฐานด้านการทหาร ‘มากย่อมชนะน้อย’”

“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พยายามอย่าทำพลาดจนไม่ผ่านการสอบข้อเขียนล่ะ”

“ได้ ได้ จะทำเต็มที่เลย เพราะไม่เหมือนเธอหรอก การไปเกี่ยวข้องกับกองทัพเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากทำเลยนี่นา”

ระหว่างตอบรับไปส่งๆ อิกฐาเติมเหล้าลูกตาลลงในแก้วทั้งๆกำลังนอนอยู่อย่างเชี่ยวชาญ


การทดสอบเป็นนายทหารระดับสูง - อุปสรรคหนึ่งที่มีเพียงผู้ที่จบเตรียมทหารมาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับการทดสอบ สรุปคือเป็นบททดสอบแรกที่นักเรียนทหารระดับสูงกว่าทั่วไปต้องพิชิตเพื่อการเป็นทหารระดับหัวแถว ในกองทัพซึ่งสิบตรีกองประจำการหนึ่งคน = พลทหารสองคน จึงไม่อาจขยับยศสูงขึ้นไปได้นอกจากการมีผลงานใหญ่ในการสู้รบ และการเลื่อนยศนั้นก็มีขอบเขตถึงแค่ขั้นที่เจ็ดจากล่าง คือทหารชั้นประทวน จ่าสิบเอก แต่การทดสอบเป็นนายทหารระดับสูงนั้นมีขึ้นเพื่อเป้าหมายในการเลือกสมัครเพื่อเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร และผู้ที่ผ่านจะได้รับยศร้อยตรีซึ่งสูงกว่าจ่าสิบเอกหนึ่งขั้นตั้งแต่แรก แต่การสอบมีเพียงปีละครั้ง และให้สอบได้แค่สามครั้ง

แน่นอน เกณฑ์การผ่านสูงอย่างบ้าไปแล้ว การสอบทุกรอบรวมกันแทบไม่เคยตัดต่ำกว่า 400 เท่า และกระทั่งการสอบข้อเขียนรอบแรกก็ไม่ต่ำกว่า 20 เท่า แต่เพราะชาวกตวรรณมีแนวโน้มที่จะมองทหารเป็นผู้กล้า ดังนั้นคนที่ผ่านการทดสอบจึงได้รับความเคารพนับถือ นี่เป็นโอกาสในการได้ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง…

“ฮืม วิเคราะห์ยุทธวิธิระดับประเทศ ยุ่งยาก--"

ท่ามกลางผู้เข้าสอบที่กำลังก้มหน้ากวาดตาผ่านกระดาษคำถาม ภาพของอิกฐาที่กำลังขยับดินสออย่างง่วงซึมนั้นช่างผิดที่ผิดทางอย่างน่าตกใจ ถึงอย่างนั้นคำตอบก็ถูกเขียนไปเรื่อยๆอย่างคล่องแคล่วมาตั้งแต่แรกจนผู้ที่ท่าทางสมเป็นผู้เข้าสอบรอบๆรู้สึกละอายใจ

“อ๋า ส่วนบริหารของกระทรวงกลาโหม น่าเบื่อ--"

จากท่าทางนั้น เหมือนกับเด็กที่ถูกบังคับให้ทำการบ้านปิดภาคเทอมหน้าร้อน มือเท้าคาง ปากเบะเป็นรูปตัว ‘へ’ ตาเหมือนปลาตาย และนอนราบกับโต๊ะทันทีที่ตอบคำถามเสร็จ และนอนอย่างนั้นโดยไม่ขยับตา ไม่ขยับตัวเลยกระทั่งข้อสอบชุดใหม่มาถึง

“แหงะ ศาสนวิทยานิกายอัลดีรา น่ารำคาญ---"

ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของผู้คุมสอบ ท่าทางไม่กระตือรือร้นขนาดนั้นมีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่จะถูกไล่ออกจากห้อง แต่โชคดีพอที่รอดมาได้

ทั้งอย่างนั้น การสอบวันที่สองก็มาถึง วิชาสุดท้ายว่าด้วยการ ‘ประยุกต์ยุทธวิธี’

“อันนี้อันสุดท้ายแล้ว อันนี้อันสุดท้ายแล้ว....หืม?”

มือที่ขยับเขียนคำตอบเหมือนเครื่องยนต์ของอิกฐาที่เกือบกลายเป็นศพมีขีวิตแล้วนั้นหยุดชะงัก หัวข้อเรียงความบนหน้าสุดท้ายของกระดาษคำถามตรึงสายตาเขาเอาไว้แน่น

ให้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระเกี่ยวกับนายพลคนก่อนของกองทหารจักรวรรดิ บาดะ สันเกร ผู้กลายเป็นอาชญากรสงครามในการรบกับคิโอก้าครั้งก่อน

“...”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มการสอบ คำถามหนึ่งที่สามารถทำให้อิกฐาจนปัญญา มาจากการให้ ‘แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ’เอง นี่ไม่ใช่คำถามแบบปกติของกองทหาร ดูเหมือนจะไม่มีจุดมุ่งหมายจะให้ตอบตามแม่แบบ

---อย่างไรก็ตาม จากเนื้อหาของคำถาม ทำให้ได้กลิ่นของคนคุ้นเคยบางๆ

โดยสัญชาติญาณ อิกฐาไม่ต้องการตอบคำถามนี้ ทั้งไม่มีทางเขียนวิจารณ์ราชวงศ์ลงในข้อสอบเป็นนายทหารระดับสูงได้ และเชื่อว่าน่าจะทำได้ดีในการทดสอบหัวข้ออื่นแล้วจึงเขียนลงไปสั้นๆ

---ผู้กล้าทุกคนตายเพราะทำงานหนักเกินไป

ยามเย็น เจ็ดโมงยี่สิบนาที การสอบรอบแรกจบลง ผู้เข้าสอบหกพันคน ลดเหลือไม่เกินสามร้อยคนพอๆกับทุกปี


ถัดจากการสอบข้อเขียนรอบแรกมา ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น อิกฐากับยาโทริแบกกระเป๋าเดินทางไว้ข้างหลัง กำลังมองทะเลจากท่าเรือด้วยอารมณ์ต่างกัน เนื่องจากการสอบรอบที่สองจัดขึ้นที่หมู่เกาะฮิรุงาโนะทางฝั่งซ้ายของจักรวรรดิ จึงมาขึ้นเรือขนส่งที่จะไปยังที่นั่น

“ถึงตรงนี้ก็เป็นไปตามแผนนะ โล่งใจที่นายผ่านมาได้”

“เป็นเพราะตั้งแต่ทำข้อตกลงกันเมื่อสองปีก่อน ก็โดดเรียนและไม่ทำอย่างอื่นนอกจากเก็งข้อสอบไงล่ะ”

อิกฐาตอบพลางหาว ต่างจากการสอบนายทหารระดับสูงซึ่งหากทำข้อสอบได้ยอดเยี่ยมก็ผ่านได้ ตำแหน่งบรรณารักษ์ของหอสมุดนครหลวงเป็นตำแหน่งที่กันไว้ให้ขุนนางใกล้เกษียณโดยเฉพาะ อิกฐาไม่มีทางอื่นนอกจากทำตามข้อตกลง

“ไม่ได้คิดจะแบ่งแยกอะไรกับพนักงานห้องสมุดนะ แต่นายเอาจริงมากเลย ทั้งที่นายไม่ได้เป็นหนอนหนังสือด้วยซ้ำใช่ไหม?”

“หนังสือน่ะชอบ แต่ถ้าให้พูดคือตำแหน่งอะไรก็ได้ทั้งนั้น พอยท์คือเป็นบรรณารักษ์หอสมุด‘แห่งชาติ’ ‘ในเมืองหลวง’ ขอให้มีสองคำนี้อยู่ จะให้เป็นคนสวนหรือพนักงานทำความสะอาดก็ไม่ว่า”

บรรพตาล เมืองหลวงของจักรวรรดิกตวรรณ เป็นใจกลางของทั้งทางอาณาเขตและทางการเมือง ถ้าหากว่าสถานการณ์สงครามระหว่างสาธารณรัฐคิโอก้าเลวร้ายลง ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายที่ถูกรุกราน สวัสดิการสำหรับลูกจ้างในหน่วยงานของรัฐอย่างเช่นห้องสมุดก็ดี พูดตรงๆแล้ว นี่คือตำแหน่งที่สามารถทำตัวเรื่อยเฉื่อยได้จนถึงวันที่ประเทศล่มสลาย

“เมื่อการตกลงนี้ลุล่วงตามแผน ก็จะได้อยู่ว่างๆไปจนตาย สองปีสำหรับการเก็งข้อสอบถือว่าถูกมาก ผมน่ะเกลียดการพยายามอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้นถ้าเป็นการพยายามเพื่อจะได้ขี้เกียจทีหลังแล้วก็ต้องทำเต็มที่”

“เฮ้อ จริงสิ นายเป็นคนแบบนั้น”

ถอนหายใจอย่างรังเกียจปนนับถือ ยาโทริมองทะเลแผ่ไพศาลตรงหน้าตัวเอง บนผิวน้ำคลื่นสงบ ลมไม่แรง อากาศสดใสอย่างน่าชัง กลิ่นไอของทะเลเป็นกลิ่นทรายกับเกลือผสมกัน

“เรือมาแล้ว อิกฐา เอ้า ยาโทริกับเชียก็ไปกันเถอะ”

เมื่อถูกภูติแสงคุสุในกระเป๋าคาดเอวของอิกฐากระตุ้น ทั้งสองเดินตามกันไปยังที่ๆเรือจอดอยู่

จากเรือขนาดกลางที่เทียบท่าอยู่ คนเรือที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นทหารลงมาและมองสำรวจอิกฐากับยาโทริอย่างถี่ถ้วน

“ตั๋วเข้าสอบ”

หลังจากได้ยืนยันตั๋วเข้าสอบจากทั้งสองแล้ว ทหารเรือให้สัญญาณให้ทั้งสองขึ้นเรือ เมื่อขึ้นไป บนเรือไม่มีเครื่องตกแต่งหรูหรา หรือเครื่องเรือนที่บ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับกองทัพ แต่เป็นเรือสะอาดสะอ้านที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างใส่ใจ ห้องรับรองที่พวกเขาถูกนำไป ทั้งๆที่แคบแต่มีเตียงสามชั้นทั้งฝั่งซ้ายและขวา นอกจากนั้น ยังมีแขกอยู่ก่อน

“อ๊ะ สวัสดีค่ะ หรือว่า พวกคุณจะเป็นผู้เข้าสอบเหมือนกันคะ?”

ผู้ที่พูดด้วยอารมณ์ระหว่างกังวลกับโล่งใจเป็นผู้หญิงผมสีฟ้าจาง บนตักมีคู่หูภูติน้ำนั่งอยู่ ให้ความรู้สึกอ่อนโยนตรงข้ามกับความหนักแน่นของยาโทริ

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ฉันคือยาโทริชิโนะ อิกเสม นักเรียนรุ่นที่ 131 ของสถาบันการศึกษาในราชูปถัมภ์เซกัล พาร์ทเนอร์เป็นภูติไฟชื่อเชีย ทางนี้เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกัน อิกฐา โซลอค กับภูติแสงคุสุ ...เธอคือ?”

หญิงสาวที่ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อตระกูลอิกเสมจากยาโทริ แนะนำตัวเองกลับทันที

“ขะ ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ นักเรียนรุ่นที่11 ของวิทยาลัยพยาบาลในราชูปถัมภ์ หมิน มิฮาเอลา ชื่อ ฮาโรม่า เบคเคล ค่ะ เด็กคนนี้เป็นพาร์ทเนอร์ภูติน้ำชื่อมิรุ อิกเสมซัง โซลอคซัง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

นั่งบนเตียงตรงข้ามกับฮาโรม่า ยาโทริเสริมด้วยเสียงอ่อนโยน

“ที่นี่ไม่คุ้นกับการเรียกหากันด้วยนามสกุล เรียกยาโทริเถอะ”

“ถ้าพอใจโปรดเรียกว่าอิกคุงหวานๆเถอะ”

ท่าทางของอิกฐาที่หยอกด้วยน้ำเสียงโอ่อ่าทำให้ฮาโรม่าหัวเราะตอบเบาๆ

“อย่าไปสนคำพูดเหลวไหลนั่นเลย เบคเคลซัง ถ้าไปเล่นด้วยจะถูกนิสัยของคนนี้พาให้เสียไปด้วยนะ”

“คิกคิก ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีจัง ถ้าอย่างนั้น เรียกฉันว่าฮาโรเถอะค่ะ เพราะคนรู้จักเรียกแบบนี้ทุกคน”

“ได้สิ ฮาโร... พาร์ทเนอร์เป็นภูติน้ำและเธอมาจากวิทยาลัยพยาบาล เป้าหมายคือหน่วยแพทย์ใช่ไหม?”

“ตามที่พูดเลยค่ะ น่าอายที่ครั้งนี้เป็นการสอบครั้งที่สามแล้ว และเป็นครั้งแรกที่ผ่านการสอบข้อเขียน เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้าย คงดีถ้าผ่านได้แต่ว่า...”

“หน่วยแพทย์ เทียบกับหน่วยอื่นแล้วอัตราความสำเร็จต่ำกว่า แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีหวังนะ หากต้องสู้กันคงยั้งมือให้ไม่ได้ แต่ถ้าสามารถร่วมมือกันได้ก็ยินดีนะ”

ด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายิ้มแย้ม ความในใจของยาโทริครึ่งหนึ่งนั้นจริงใจ อีกครึ่งคือวางแผน ถ้าการเตรียม ‘พันธมิตรที่เก่งกาจและไม่คิดจะผ่านการสอบ’ ที่เรียกว่าอิกฐาเป็นการเตรียมการก่อนเข้าสู่สนามรบ ตอนนี้คือขั้นตอนการรวบรวมสมัครพรรคพวกในท้องที่

“ถ้าได้อย่างนั้นก็สบายใจแล้วล่ะค่ะ ได้ยินชื่อเสียงของธิดาคนโตตระกูลอิกเสม ยาโทริซังมา”

“ขอบคุณที่ชม แต่คงดีหากแข็งแกร่งได้สักครึ่งหนึ่งของข่าวลือ”

ขณะสองคนกำลังคุยกันอย่างถ่อมตัว ประตูห้องพักเปิดออกและผู้โดยสารคนใหม่ปรากฏตัว เป็นเด็กหนุ่มร่างอ้วน หน้ากลม เขาสำรวจภายในห้องอย่างรวดเร็วแล้วสะดุ้ง เบิกตากว้าง

“อิกฐา โซลอค...? ทะ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้!”

“โอ้ สหายแมททิว! เธอก็ผ่านเหมือนกันเหรอ ดีจังเลย ยอดเยี่ยมไปเลย!”

ถูกอิกฐาลุกจากเตียงเข้ามากอด เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าแมททิวทำสีหน้าไม่พอใจสุดๆ ขณะพยายามผลักคนรู้จักออกไปห่างๆ คราวนี้เขามองไปที่ยาโทริ

“ชิ ยาโทริชิโนะ... นายก็อยู่นี่ด้วยจริงๆ”

“ไม่เจอกันเกือบเดือนเลย แมททิวคุง ดีใจที่ได้เจอกันนะ ถึงท่าทางเธอจะไม่คิดเหมือนกันก็เถอะ”

“แน่อยู่แล้ว ถ้านายพลาดตอนสอบรอบแรก ฉันจะดีใจแค่ไหนคงไม่รู้หรอก”

แมททิวบ่นอย่างชิงชัง สำหรับฮาโรม่าที่ไม่รู้จัก ยาโทริเข้ามาแนะนำตัวให้

“แมททิว เทดริค กับพาร์ทเนอร์ภูติลมซู รุ่นเดียวกับฉันและอิกฐาน่ะ ถ้าฮาโรนึกออกว่าเคยได้ยินชื่อตระกูลเทดริคมาก็ช่วยพูดออกมานะ คิดว่าเขาต้องดีใจมากแน่”

“แนะนำตัวแบบไหนกัน! ถึงจะมีคนจำได้หรือไม่ได้ ในจักรวรรดิ ตระกูลเทดริคก็เป็นตระกูลโดดเด่นของฝ่ายกองทัพรุ่นแรกอยู่ดี ไม่ด้อยไปกว่าอิกเสมหรือเรเมียน”

“เท-เทดริค...หรือคะ? เอ่อ เคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่านะ ...ขอโทษค่ะ ไม่รู้สึกคุ้นเลย แต่...”

ฮาโรพูดใจร้ายอย่างไม่ตั้งใจ แมททิวกระทืบเท้า กัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด จังหวะนั้นเองอิกฐาก็เข้ามาปลอบ หรือเรียกว่ามาซ้ำอาจจะถูกกว่า ตบบ่าเขา

“ก็ดีไม่ใช่เหรอแมททิว จุดที่เธออยู่คือได้ฐานเสียงข้างมากในคนกลุ่มน้อย ดาราไม่จำเป็นต้องมีฐานแฟนคลับระดับประเทศหรอกนะ เธอพยายามเต็มที่แล้วในระดับท้องถิ่น”

“ใครเป็นดาราหา!โอ๊ยพอๆ ยังไงก็ช่างเถอะ ปล่อยฉันสักทีเซ่!”

โดนอิกฐาตามเหมือนผีสิง แมททิวไปนั่งกอดเข่าประท้วงตรงมุมห้อง ยาโทริส่ายหน้าขวางฮาโรซึ่งทนดูไม่ไหวและพยายามจะพูดอะไรออกมาไว้

“อยู่เฉยๆเถอะนะ ในเวลาอย่างนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็ไม่ชอบหรอก”

“อะ ค่ะ... รู้สึกว่า จะคุ้นกับเรื่องแบบนี้นะคะ?”

“เป็นเรื่องที่เจอมาตลอดสี่ปี อ๊ะ แต่ถ้ามีอิกฐาอยู่จะรับมือได้ง่ายมากเลย เหมือนใช้พิษต้านพิษน่ะ”

ยาโทริพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ฟังแล้วภาพของอิกฐาที่พล่ามกับแมททิวไม่หยุดสำหรับฮาโรยิ่งเหมือนงูพิษกำลังรัดเหยื่อ เธอหลบสายตาไปทางอื่นด้วยความกลัวนิดๆ

“เอ่อ ยาโทริซัง อยู่รุ่นเดียวกับอิกฐาซังใช่ไหมคะ?”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนเลย อืม อยู่ด้วยกันเพราะความบังเอิญแปลกๆน่ะ”

ขณะยาโทริพูดพลางหัวเราะเหมือนประชด ฮาโรขยับปากเข้าไปใกล้หูเธอแล้วกระซิบถาม

“เอ่อ ดูเหมือนแมททิวซังก็เป็นแบบเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นอิกฐาซังก็มาจากตระกูลดังเหมือนกัน---"

“ฮะๆๆ ผิดแล้ว โซลอคเป็นชื่อของสถานสงเคราะห์ครับคุณหนู”

เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหูกะทันหัน ฮาโรร้อง ‘ว้าย’ แล้วหันหลัง อิกฐาจะผละจากแมททิวเมื่อไหร่ไม่รู้แล้วมาปักหลักอย่างหน้าไม่อายข้างๆเธอ และส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม

“มาจากตระกูลดังงั้นเหรอ ผมไม่มีทั้งพ่อและแม่ ตอนนั้นได้เจอกับคุสุที่ทำงานในสถานสงเคราะห์โซลอค กำลังสลบและใกล้ตายอยู่ในห้องใต้ดิน ตั้งแต่นั้นก็อยู่กับเจ้าหนูนี่มาตลอด และโชคดีที่ผมไม่โง่ เลยได้เข้าเรียนในฐานะนักเรียนทุน”

“อ๊ะ อย่างนั้นเหรอคะ ขอโทษที่ถามอะไรหยาบคายออกไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น.... กรี๊ด?!”

“ไม่เป็นไรไม่ถือ เพราะจากนี้ไปผมก็จะทำเรื่องหยาบคายกับเธอเหมือนกัน...”

พอถูกลูบหลังมือ ฮาโรก็เปล่งเสียงชวนเลือดกำเดาไหลออกมา ยาโทริมองภาพตรงหน้าแล้วเอามือกุมขมับเหมือนจะพูดว่า‘เอาแล้ว เริ่มแล้วไง...’

“สูง รูปร่างเพรียวจังนะ สูงกว่าเด็กผู้ชายอย่างผมตั้งห้านิ้ว..”

“อ๊า 175ซม.ค่ะ ขอโทษที่สูงเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงค่ะ...”

“แปลว่ามีพัฒนาการร่างกายดีมากต่างหาก... อ๊ะ มือหยาบไปนิด ปกติทำงานบ้านเองเหรอ?”

“มะ มีน้องชายห้าคน ส่วนฉันเป็นพี่สาวคนโตค่ะ...ว้าย! อย่า...อย่าลูบต้นแขน...!”

“พี่สาวของน้องห้าคน? สุดยอดเลย หรือจะพูดว่าเหนื่อยแย่ดี... คุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรล่ะ?”

“เช่าที่ทำเกษตรค่ะ...แต่รายได้ไม่พอ ถ้าฉันไม่ได้เป็นทหารแล้วส่งเงินกลับไป... อ๊า อย่าจับหูสิคะ อย่าลูบผมด้วย...!”

การแตะเนื้อต้องตัวที่เริ่มจากหลังมือแล้วรุกคืบมาเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว โดยสัตย์จริงแล้วยาโทริว่าตลกดี แต่หากปล่อยไว้จะกลายเป็นภาพไม่น่ามองแล้ว ก่อนจะถึงขั้นนั้นจึงคว้าหลังคออิกฐาเพื่อหยุด

“พอแค่นี้แหละ อิกฐา ไว้ตกสาวครั้งหน้าเถอะ”

“OH แย่จัง”

พอถูกยาโทริโยนไปทางอื่นแล้ว อิกฐากลับไปทางแมททิวที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง เมื่อเห็นฮาโรซึ่งดีใจที่เป็นอิสระแต่กำลังหายใจระทวย ยาโทริจึงเรียก

“ไม่เป็นไรนะ...? ขอโทษนะ ฉันเข้ามาห้ามแต่ช้าไปนิด”

“ฮ้า ฮ้า ฉะ ฉันถูกทำอะไรไปคะ?”

“นิสัยเสียของหมอนั่นล่ะ ไม่หล่อแท้ๆ แต่ชอบจีบผู้หญิง ถ้าปล่อยไว้ต่อไปจะถูกจับหน้าอกแล้วพาไปที่เตียง พอตกใจตื่นก็เป็นตอนเช้าเสียงนกร้องสดใสแล้ว”

“ตอน ตอนเช้า! หวา...!”

“อย่ากลัวไปเลย ฮาโร อยู่กับฉันเธอไม่เป็นไรแน่”

ระหว่างกอดฮาโรอย่างอ่อนโยน ยาโทริที่ยิ้มเจ้าเล่ห์กำลังตะโกน “ดีล่ะ ชนะใจแล้ว!” อยู่ในใจ ขั้นรวบรวมสมัครพรรคพวกในท้องที่กำลังดำเนินไปด้วยดี

ทันใดนั้น ประตูเปิดออกช้าๆเป็นครั้งที่สอง คนที่ค่อยๆโผล่หน้าออกมาอายๆเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาตัวสูงกว่าฮาโร มีตาสีเขียวบริสุทธิ์และผมสีเขียวสว่างประบ่า ในกระเป๋าคาดเอวมีภูติลมเหมือนซูของแมททิว

“เอิ่ม เข้าไปได้ใช่ไหม หรือกำลังยุ่งกันอยู่?”

“ไม่ได้อยู่แล้ว กลับไปเขตตัวเองซะไอ้หน้าตาดี”

ด้วยสาเหตุบางประการอิกฐาปฎิเสธทันที แต่ยาโทริปิดปากไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วต้อนรับผู้มาใหม่

“เชิญเลย เข้ามาสิ ทุกคนแนะนำตัวไปแล้ว เธอจะเอาด้วยไหม?”

ยิ้มสดใสตอบรับคำเชิญ เด็กหนุ่มเริ่มแนะนำตัวเองพร้อมๆกับเข้ามาในห้อง

“ผมคือ ทอร์เวย์ เรเมียน นักเรียนรุ่นที่ 82 ของวิทยาลัยในราชูปถัมภ์ เออร์มี่ เจ้าหนูนี่เป็นพาร์ทเนอร์ภูติลมซาฟี ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย ทุกคน เป็นการสอบที่ยาก แต่มาพยายามจนกว่าจะผ่านกันเถอะ”

ทันทีที่เด็กหนุ่มเอ่ยชื่อออกมา แมททิวที่เดิมขดตัวอยู่ริมห้องก็ยืดหลังตรงทันที พร้อมกันนั้น ดวงตาของยาโทริเบิกโตและมุมปากตกลงด้วยความหงุดหงิดเงียบๆ

“อ้อ นายนี่เอง บุตรคนเล็กของเรเมียน...”

บุตรคนที่สามของตระกูลเรเมียนที่ทรงอำนาจในฝ่ายทหารเทียบเท่ากับตระกูลอิกเสม คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการสอบเป็นนายทหารระดับสูง คู่แข่งตัวเอ้มาอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว ---ด้วยความคิดนั้น ยาโทริสูดลมหายใจลึกให้หัวใจสงบลง แล้วประกาศชื่อด้วยท่าทางเหมือนประกาศสงคราม

“ยาโทริชิโนะ อิกเสม เด็กคนนี้เป็นพาร์ทเนอร์ชื่อเชีย ...ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องอย่างประวัติส่วนตัวสินะ?”

“...ยาโทริชิโนะ!? จริงด้วย ผมสีแดงนั่น จากตระกูลอิกเสม...!อ้า อะไรกันเนี่ย!”

พอได้ยินชื่อผู้ร่วมห้อง ดวงตาทอร์เวย์เป็นประกายเหมือนได้เห็นวีรสตรีที่เป็นที่ชื่นชม แม้แต่ฝีปากที่เคยเอ่ยคล่องแคล่วก็กลายเป็นตะกุกตะกัก พูดถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย “เอ่อคือว่า แบบว่า ยังไงดี” ซ้ำไปมา เห็นสภาพของเขาเช่นนั้น ยาโทริขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“...เดี๋ยวก่อน อะไรนะ จะพูดอะไรก็พูดออกมาชัดๆสิ”

“ยัง ยังไม่ได้เตรียมใจเลย... คือ คือว่ามิสอิกเสม ผมน่ะ....”

“อย่าได้ใจนักนะพวกนาย”

จังหวะที่ทอร์เวย์ปลุกใจแล้วพยายามจะพูดอะไรออกมา แมททิวเข้ามาแทรกระหว่างเขากับยาโทริ เผชิญหน้ากับทั้งสองอย่างกล้าหาญ บุตรคนโตผุ้อ้วนท้วนแห่งตระกูลเทดริคเปล่งเสียงแหบห้าว

“ศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวของอิกเสม และการจัดแถวยิงปืนของเรเมียนไม่ใช่ยุทวิธีขั้นสูงสุดอีกต่อไปแล้ว ถ้าพวกนายไม่ใช่ผู้บุกเบิกยุทธวิธีอีกต่อไปแล้วพวกนายก็ไม่สำคัญ แค่เป็นคนของตระกูลดังอย่ามาทำหน้าใหญ่นะ”

“เอ่อ เธอคือ...”

“แมททิว เทดริค อย่าลืมชื่อนี้ล่ะ ลูกคนสุดท้องของตระกูลเรเมียน”

แมททิวบอกชื่อด้วยท่าทางคุกคามอย่างประกาศสงครามแท้ๆ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทอร์เวย์ส่งยิ้มมีเสน่ห์ตรงข้ามกับคู่สนทนา

“การจำชื่อคนเป็นจุดแข็งของผมเลยล่ะ มาพยายามและสอบผ่านไปด้วยกันนะแมททิวคุง”

“ฮึ่ม ใช้มิตรภาพปลอมๆทำให้ตายใจน่ะไม่มีประโยชน์หรอก”

“แมททิวคุง...แมททิวคุงเหรอ...อืม เรียกว่าม่าคุงดีไหม?”

“ห๊า!?”

อยู่ดีๆก็ได้ชื่อเล่นมา แมททิวเบิกตาค้าง ในตอนนั้น ยาโทริผู้ถูกขัดขวางการสนทนาระหว่างคู่แข่งถอนหายใจแล้วผลักเขาไปข้างๆ

“...ยุทธวิธีที่พวกเราสร้างขึ้นจะกลายเป็นของล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะหลบอยู่ในเงาของความรุ่งเรืองสมัยก่อนสักหน่อย แล้วถ้าจะให้พูดต่อนะ แมททิวคุง--"

ทิ้งประโยคค้างไว้อย่างมีความหมายพร้อมกับมองร่างของคู่สนทนาอย่างตั้งใจ ยาโทริจบประโยคพร้อมเสียงหัวเราะเยาะเต็มที่

“ถ้ามองในแง่ที่เป็นรูปธรรมแล้ว ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในเรื่องของขนาดแล้ว หน้านายใหญ่สุด”

“อึ๊ก”

โดนทิ่มแทงด้วยเรื่องของรูปร่างที่เขามักกังวล แมททิวครางด้วยสีหน้าน่าสงสาร การโจมตีโดยไม่สนใจความแตกต่างระหว่างฝีมือผลคือความปราชัย เป็นรูปแบบชัดแจ้งมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน

“หยุด อย่ารังแกแมททิวนะ”

อิกฐาแทรกเข้ามาเสียงทื่อเหมือนท่องบท ทอร์เวย์ส่ายหน้าด้วยสีหน้าละอายใจ

“ไม่ได้ตั้งใจจะรังแกนะ ถ้าทำให้เสียบรรยากาศก็ขอโทษด้วย ว่าแต่ เธอคือ...”

“อย่าได้รู้เลย เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”

“เอ๊ะ?”

“จงฟังไว้ นายถูกตัดสินโทษต่อหน้าความยุติธรรมแล้ว ความผิดที่เห็นได้ชัดคือใบหน้าและรูปร่างดึงดูดตา ตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์แห่งอัลดีรา ความตายจงมาสู่อิเคเมนทุกผู้!”

“คำพูดนายเมื่อกี๊ต่างหากที่น่าจะโดนตัดสินโทษ! แล้วอย่างน้อยก็พูดให้เหตุผลมันไปกันได้หน่อย!”

ยาโทริทำหน้าที่ตบมุกเหมือนคู่ตลก ทอร์เวย์ส่งสายตาที่แปลเป็นคำถามว่า “คนรู้จักเหรอ” เธอถอนหายใจแล้วแนะนำตัวแทนอิกฐา

“หมอนี่ชื่อ อิกฐา โซลอค เหมือนแมททิว ปีเดียวกับฉัน ถึงเขาจะมีนิสัยชอบรังแกผู้ชายหน้าตาดีเป็นครั้งๆก็อย่าไปสนใจนักนะ เขาแค่มีสัญชาติญาณหวงถิ่นสูงมากน่ะ”

“อิเคเมนต้องไประเบิดตัวเองให้หมด! ก๊าซซซ!”

ยาโทริอธิบายระหว่างจับคออิกฐาไว้ ทอร์เวย์ถามอายๆ

“...สนิทกันเหรอ”

“แค่อยู่ด้วยกันมานานเท่านั้น”

ยาโทริตอบอย่างไม่ไว้หน้า แต่ไม่ว่าใครก็เห็นความคุ้นเคยจากที่เธอโต้เถียงกับอิกฐา ทอร์เวย์หันไปมองอิกฐาใหม่ด้วยความรู้สึกอิจฉาปนมาบางๆ แล้วค่อยๆยื่นมือขวาออกไป

“ทอร์เวย์ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยอิกฐาคุง อืม มาเป็นเพื่อนกันนะ?”

เลิกข่มขู่แล้ว อิกฐาเองก็รู้จักมองผู้ร่วมทางอย่างตั้งใจ ด้วยดวงตาเฉลียวฉลาดมองเห็นความนัยของผู้อื่น ท่าทางอ่อนโยนของทอร์เวย์เป็นการเสแสร้งหรือเปล่า เขาอนุมานจากการโต้ตอบกันจนถึงตอนนี้แล้วลงความเห็นว่าเป็นคนดีประเภทที่เอ๋อหน่อยๆ

“อิกฐา โซลอค พอนึกภาพหน้าของนายที่โดนอัดซ้ำไปซ้ำมาสิบเจ็ดรอบแล้วค่อยพอทนได้หน่อย มาเป็นเพื่อนกันก็แล้วกัน”

ที่หลุดออกมาเป็นความเห็นซื่อตรงสดใส ยิ่งกว่านั้นยังถือว่าตัวเองเหนือกว่าอีก แต่โชคดี ทอร์เวย์เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมาใส่ใจ ดังนั้นการจับมือเชื่อมสัมพันธ์กันก็เกิดขึ้นอย่างปาฏิหาริย์

“อื้ม ฝากตัวด้วยนะอิกฐาคุง อ๊ะ ใช่แล้ว ขอเรียกว่าอิกคุงได้ไหม?”

“ขอปฎิเสธ พูดอะไรของนาย”

ต่อจากแมททิว ทอร์เวย์กระตือรือร้นอย่างเป็นธรรมชาติที่จะเรียกชื่อเล่นแม้จะเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก แต่อิกฐาก็คืออิกฐา ที่บอกปัดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยสีหน้าสมเพช

“ให้ตายสิ อิกคุงเหรอ? อย่ามาล้อเล่นนะ คนที่จะเรียกฉันอย่างนั้นได้มีแต่เธอคนนั้น”

ดวงตาสีดำหันไปทางฮาโรอย่างมีความหมาย ลากคนที่จนถึงตอนนี้อยู่นอกวงมาตลอดเข้ามาด้วยแล้ว นอกจากนั้น แม้จะไม่ได้ถูกขอ อิกฐาก็แนะนำตัวเธอ

“เธอคือฮาโรม่า เบคเคล ตั้งใจจะเป็นหัวหน้าหน่วยทหารแพทย์ ที่บ้านมีน้องชายห้าคน เป็นเด็กดีมาก ฉันรับรอง”

“อิก อิกฐาซัง!? แนะนำตัวอย่างนั้นจะทำให้เข้าใจผิดกันใหญ่...”

ฮาโรตกใจและพยายามจะแก้คำพูด แต่โชคไม่ดี โดยเนื้อหาแล้วอิกฐาไม่ได้พูดอะไรผิด ทอร์เวย์ผู้ไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงแสดงการเข้าใจผิดออกมาอย่างงดงาม

“เข้าใจล่ะ อย่างนี้เอง ...อื้ม ทั้งสองคนเหมาะสมกันมากเลย”

“อย่างนี้น่ะอย่างไหนคะ!? ไม่น้า อย่ามองด้วยสายตาอบอุ่นแบบนั้น...!”

อิกฐาผู้บิดเบือนเนื้อหาตามใจตัวเองกำลังยินดีกับผลที่ออกมา แต่แล้วก็ต้องเสียหลักอย่างรุนแรงเมื่อเรือเดินเครื่องแล้วออกจากท่า ยาโทริสะสางสถานการณ์ลงก่อน

“การแนะนำตัวคร่าวๆจบแล้ว ทุกคน มาพักกันเถอะ ต่อให้โชคดีมีลมช่วยหนุนก็ยังเป็นการเดินทางที่ต้องใช้เวลาเกือบสองวันกว่าจะถึงหมู่เกาะฮิรุงาโนะ คิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว เราควรเก็บแรงไว้ดีกว่า”

“อ้า จริงด้วยนะ ถ้าอย่างนั้นมาแบ่งเตียงแล้วเก็บของเถอะ”

“นี่ฮาโร เธอชอบตรงไหนเหรอ บน? ล่าง? ข้างหลัง? อ๊ะ นั่งหันหน้าเข้าหากันก็ดีนะ ฮุฮุฮุ”

“ทำไมถึงถามแต่ฉันล่ะคะ!? แล้วที่พูดนั่นหมายถึงตำแหน่งเตียงจริงๆเหรอคะ!?”

“...หน้า...หน้าเรา...มันใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ...? ...ฮือฮือ...”

และแล้วพวกเขาก็นอนลงบนเตียงของแต่ละคน และด้วยความเพลียจากการเดินทางทั้งห้าก็หลับไป อนึ่ง หลังจากการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน เตียงของอิกฐาถูกกำหนดให้อยู่ห่างจากฮาโรที่สุด


ออกจากท่าเรือได้สามชั่วโมง สภาพอากาศที่เลวร้ายลงกะทันหันทำให้เรือโคลงเคลงรุนแรง พวกอิกฐาที่อยู่ในห้องพักเดียวกันต่างตื่นขึ้นทีละคน การเดินทางล่องเรือยังอยู่ในช่วงต้นๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่ายังเหลือเวลาอีกนาน

“อืม 7-6 หน่วยไฟพิฆาต... ไม่ 3-3 หน่วยปืนวายุ”

“พอแล้วใช่ไหม เอาล่ะ ผมเอาตัวนี้ไปช่วยเสริมกำลังสองด้านของ 4-6 หน่วยปืนวายุแล้วกัน”

นั่งหันหน้ากันบนเตียง แมททิวกับทอร์เวย์กำลังทำสงครามกันในหมากรุก คนที่ทั้งเอาตัวหมากกับกระดานมาและท้าแข่งคือแมททิว แต่สถานการณ์ดูไม่เอื้ออำนวยเขาเลย

“3,4,5-7 เป็นกองพันปืนวายุ เอ่อ อย่างนี้แล้ว พลทหารสี่ตัวก็ถูกล้อมแล้วสินะ”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ยังแก้ได้น่า...”

แมททิวครางอย่างมุ่งมั่นแล้วจ้องกระดานเขม็ง แต่ยิ่งมอง กองทัพของเขายิ่งเสียเปรียบขึ้นทุกที นาทีแรกเขาก็เข้าใจแล้วว่าผลลัพธ์มันแน่นอนแล้ว และใช้เวลาอีกสามนาทีเพื่อเตรียมใจ สุดท้าย เขาเค้นออกมาหนึ่งคำ “...แพ้แล้ว”

“ฮึ่ย อีกครั้งนึง! เมื่อกี๊แค่เผลอพลาดแล้วพลาดอีก!”

ถึงจะพูดอย่างนั้น สถิติได้บ่งบอกความจริงว่าแมททิวแพ้ติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม แต่เพราะเกลียดการแพ้ เขาจึงไม่สามารถยอมรับความห่างชั้นกันได้ เมื่อรู้สึกว่าหากปล่อยไว้อย่างนี้คงต้องสู้กันอย่างไร้ประโยชน์ไปเรื่อยๆ ทอร์เวย์ผู้เป็นห่วงเพื่อนจึงตั้งข้อเสนอ

“นี่ม่าคุง เรามาทบทวนกระดานเมื่อกี๊กันดูไหม มีบางจุดที่ผมก็อยากแก้ไขเหมือนกัน”

หลักเหตุผลว่าจะไม่มีการพัฒนาหากไม่สงบใจค้นหาจุดบกพร่องที่ทำให้แพ้ เป็นข้อที่แมททิวยอมรับเช่นกัน ดังนั้นแม้จะหงุดหงิดแต่ก็ยอมรับข้อเสนอของทอร์เวย์ เห็นท่าว่าจะยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องสนใจมากกว่า ดังนั้นจึงไม่มีที่สำหรับการบ่นเรื่องคำเรียกหาว่า “ม่าคุง” อย่างสนิทสนมเกินเหตุ

“อืม ทั้งที่สูสีมาถึงครึ่งเกมแท้ๆ เริ่มเสียเปรียบตอนไหนนะ ตาที่หกก่อนหน้านี้ที่ส่งหน่วยไฟพิฆาตไปมากเกิน หรือตอนที่เสียหน่วยทหารแพทย์เมื่อสิบสองตาก่อน...”

ทอร์เวย์กำลังหาคำอธิบายที่ไม่ทำร้ายความภูมิใจของเพื่อนมากเกินไป แต่เสียงของบุคคลที่สามดังลงมาจากเหนือศีรษะโดยไม่มีใครร้องขอเสียก่อน

“ยี่สิบเอ็ดตาก่อนต่างหาก สหายแมททิว ตอนที่หน่วยปืนวายุโดนขวางไม่ให้โปรโมทแล้วโดนกินอย่างไร้ประโยชน์ในเขตแดนของศัตรู ตอนนั้นควรถอยกลับมาอย่างงดงามแล้วเปลี่ยนมาป้องกัน”

แมททิวเดาะลิ้นเมื่อได้ฟังน้ำเสียงสบประมาทของอิกฐา เรียงตัวหมากใหม่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด ทอร์เวยเบิกตาโตมองขึ้นไปยังเตียงชั้นบนสุด

“...อิกคุง จำการเคลื่อนไหวได้ทั้งเกมเลยเหรอ แต่อยู่ข้างบนนั่นไม่น่าจะมองเห็นกระดานชัดนี่”

“บอกว่าอย่าเรียกอิกคุง อิเคเมน ครั้งหน้าจะเจออัดด้วยหมอน”

แม้จะตอบมาอย่างไม่ไว้หน้า แต่ทอร์เวย์ประเมินอิกฐาไว้สูงแล้ว การจำการเคลื่อนไหวในเกมได้สำคัญจริง แต่เหนือไปกว่านั้นคือความเข้าใจว่าตอนไหนควรรุกหรือถอยที่สมควรได้รับการชื่นชม จุดที่อิกฐาถือว่าเป็นจุดตัดสินแพ้ชนะนั้นเป็นจุดเดียวกันกับที่ทอร์เวย์กำลังจะบอกพอดี

“ทุกคน น้ำชามาแล้วค่ะ--”

ฮาโรกับยาโทริถือกาดินเผากับถ้วยชาจำนวนเท่ากับคนในห้องเข้ามา ตอนแรกพยายามเทน้ำชาโดยการวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแต่เพราะมันโยกตามแรงคลื่นเกินไป ถ้วยชาจึงแทบหล่น ฮาโรจึงเปลี่ยนมาเป็นถือถ้วยชาแล้วค่อยเทน้ำชาลงไปแล้วยื่นให้ทีละคน

“โคลงน่าดูเลยนะคะ ตอนที่ไปขอใช้ครัวได้เห็นทะเลนิดนึงด้วย คลื่นแรงมากเลยค่ะ”

“เจอลมตะวันตกรุนแรงแบบนี้เข้า ดูเหมือนเส้นทางเรือเหไปทางตะวันออกมากเกินไป เพราะต้องเสียเวลาหันเรือกลับเข้าเส้นทางที่ถูกเลยดูเหมือนการเดินทางเที่ยวนี้จะนานกว่าที่คาดไว้ เรือนี่เป็นพาหนะที่ไม่อาจควบคุมได้เลยนะ”

ยาโทริรับถ้วยน้ำชาจากฮาโรพลางเสยผมสีแดงของตัวเองขึ้น มองไปยังกระดานหมากรุกที่อยู่ระหว่างแมททิวกับทอร์เวย์

“อะไรนี่ กำลังเล่นหมากรุกเหรอ? แมททิวแพ้ติดต่อกันกี่ครั้งแล้ว?”

“ละ แล้วทำไมถึงถามเหมือนแน่ใจว่าฉันจะแพ้...”

“เถียงเสียงอ่อยแบบนี้แสดงว่าเป็นแบบนั้นจริงๆสินะ เอาเถอะ ไม่เห็นต้องใส่ใจนักเลย ใช่ว่าเป็นราชาหมากรุกเท่ากับเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจเสียหน่อย”

จากคำพูดปลอบใจของยาโทริ ทอร์เวย์ขยายไปเป็นหัวข้อใหม่

“จะว่าไปแล้ว ในการสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ดูเหมือนต้องเล่นหมากรุกกับนายทหารไปด้วย ถ้าหมากรุกไม่เกี่ยวกับความสามารถในการบังคับบัญชาแล้วทำไมต้องจัดให้มีการสอบแบบนี้ด้วยล่ะ?”

“ในเมื่อเป็นการสัมภาษณ์ขณะเล่นเกม ฉันคิดว่าคงเป็นการวัดความสามารถในการทำงานพร้อมกันหลายอย่างในทีเดียว ถ้าเป็นนายทหารระดับสูงแต่ไม่สามารถทำงานสองสามอย่างได้พร้อมๆกันจะถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะคนแบบนั้นมีมากเกินไปจนเป็นโอเวอร์แคปาซิตี้แล้ว[2]

คำตอบของยาโทริสมเหตุสมผล แล้วเธอก็มองไปยังอิกฐาที่ยื่นเพียงแขนออกมาจากเตียงเพื่อรับถ้วยชา ขณะทึ่งในความขี้เกียจ เธอส่งต่อคำถามของทอร์เวย์ไปให้

“อิกฐา นายคิดว่ายังไง”

“...อืม อร่อยดีนะ แต่แทนที่จะใส่ใบชาลงในนมเลย อยากได้แบบแยกแช่นมในน้ำร้อนให้อุ่นกับชาต้มเข้มจัดๆมากกว่า แบบนั้นจะดีกว่าไหม”

“ใครถามเรื่องชอบชาแบบไหน แล้วคนที่บอกให้ต้มนมเลยคือฉันเอง ถ้าไม่ชอบใจก็ขอโทษด้วย”

เพียงอยู่ด้วยกันมานานเท่านั้น แต่ยาโทริรับมือกับคำหยอกเย้าของเพื่อนได้อย่างลื่นไหลผิดปกติ อิกฐายันร่างขึ้นมาจิบชา ตอบคำถามแรกอย่างสบายๆ

“คิดว่ายาโทริตอบได้เกือบถูก แต่ไม่ทั้งหมด ยังมีอีกข้อนั่นคือ หมากรุกในตัวของมันเองแล้วเพียบพร้อมไปด้วยพื้นฐานการทำสงคราม ไม่ถือว่าแย่สำหรับการฝึกสมองและสมาธิ เพียงแต่ถ้าให้ฉันเสนอนะ ถ้าจะให้ทหารเล่นควรจะปิดตาเล่นแบบไม่ต้องใช้กระดานดีกว่า”

“---เอ๋? อิกคุง ทำไมล่ะ อุ๊บ!”

หมอนถูกโยนมาใส่หน้า ทันใดนั้นอิกฐายื่นศีรษะออกมานอกเตียงแล้วตะโกน

“ห้ามเรียกอิกคุง! ...ถ้าให้หมากรุกเป็นสงคราม กระดานก็เท่ากับสนามรบ ถามหน่อย ตอนทำสงครามจริงๆ ผู้บัญชาการจะมองลงมาเห็นทั้งสนามรบเหมือนมุมมองของพระเจ้างั้นเหรอ?”

“...เป็นไปไม่ได้ ที่อยู่ของกองทหารศัตรูเป็นข้อมูลลับ ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงได้แต่คาดเดาเอง รวมทั้งทหารที่ร่วมมือกับฝ่ายเราก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามที่วางแผนได้เสมอไป”

“ตามที่พูดเลย ในสงครามจริง การต่อสู้เริ่มเมื่อจับตำแหน่งของศัตรูและพวกเดียวกันได้ สิ่งจำเป็นสำหรับการนั้นคือความสามารถในการคาดเดาสถานการณ์โดยรวมจากข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ไม่ได้จะพูดว่าหมากรุกปิดตาใช้ฝึกฝนความสามารถนั้นได้นะ แต่สามารถสร้างพื้นฐานจินตนาการ อย่างแรกคือนึกถึงภาพกระดานขึ้นมา แล้วนึกภาพกองทหารขยับไปมาบนกระดาน...อ่า ชาหมดแล้วยัง?”

เอ่ยความคิดของตนออกมาอย่างคล่องแคล่ว อิกฐายื่นถ้วยชาออกมาจากเตียงด้วยท่าทางไม่มั่นคงให้ฮาโรเติมให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ทอร์เวย์กับฮาโรฟังอย่างนับถืออยู่ด้านหนึ่ง และอีกด้านแมททิวทำท่าไม่สนใจ ถลึงตาใส่กระดานหมากรุก แต่แล้วเรือก็เกิดโคลงอย่างหนัก

“อ๊ะ” “อะจ๊ากกก!?”

น้ำชากระเด็นจากถ้วยของอิกฐาลงบนศีรษะแมททิวอย่างแม่นยำ ขณะขอโทษแบบไม่ตั้งใจ “โทษที โทษที” ใส่คนที่หงายหลังเพราะความร้อน เขาตวัดสายตาไปทางประตูเคบิน

“ใครอยู่ตรงนั้น”

ยาโทริที่กำลังมองไปทางเดียวกับอิกฐาตะโกน เธอถูกเสียงร้องของแมททิวดึงความสนใจ แต่จังหวะที่เรือโคลงก็มีเสียงบางสิ่งกระแทกกับประตูดังขึ้น ด้วยความสงสัย ยาโทริจึงเดินไปเปิดประตู

“อูย เจ็บ...”

ตรงข้ามประตูที่เปิดออกคือเด็กเด็กหญิงตัวเล็กสวมหมวกใบใหญ่ ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกปีกกว้าง แต่ผมสีทองที่ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในหมวกนั้นนุ่มสวย เสื้อผ้าเรียบๆแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นผ้าเนื้อดีมาก และลักษณะการสวมใส่ดูแล้วสง่างาม

“ผู้เข้าสอบ...ไม่ใช่สินะ มาจากไหนจ๊ะคุณหนู มีธุระอะไรกับพวกเราหรือเปล่า”

ยาโทริยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและถามคำถาม แต่เด็กสาวดูสับสนและตอบกลับเสียงเบาว่า “ขะ ขออนุญาต” เป็นเชิงเลี่ยงคำถามแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ยาโทริเอียงศีรษะ

“อะไรกันนะ? แต่ว่า ผู้โดยสารธรรมดาจะมาอยู่ในเรือที่กำลังพาผู้เข้าสอบไปยังจุดสอบเนี่ยนะ... อิกฐา นายคิดว่ายังไง?”

“อืม ต้องรออีกห้าหรือหกปีถึงจะเหมาะสำหรับการบริโภค แต่ถ้ารอให้สุกจริงๆ อาจจะต้องสิบห้าปี...”

“ไม่มีใครถามเรื่องเกณฑ์ขั้นต่ำในการเข้าข่ายสไตรค์โซนของนาย---”

คำพูดโต้ตอบของยาโทริถูกขัดด้วยแรงกระแทกตัวเรือกะทันหัน ทุกคนต่างพากันเสียหลัก และน้ำชาในถ้วยของแต่ละคนกระเซ็นหกหมด แตกต่างอย่างชัดเจนจากการโคลงเคลงครั้งก่อนๆ นี่เป็นแรงกระแทกจากการ ‘ชน’อย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะคลื่น

“---เกิดอะไรขึ้น !?"

คนแรกที่ทรงตัวได้คือยาโทริ เธอสำรวจสถานการณ์รอบตัว ส่วนคนอื่นๆ ทอร์เวยกำลังประคองไหล่ฮาโรที่ล้มหงายหลัง ส่วนอิกฐาหล่นลงจากเตียงบนสุด กระแทกเข้ากับร่างกายยืดหยุ่นของแมททิวเลยไม่เจ็บตัวอย่างน่าละอาย

“โอ แมททิว ช่างเสนอตัวเข้าช่วยอย่างกล้าหาญ มาดื่มกันเถอะ เพื่อมิตรภาพของเรา”

“อูย... คนอย่างนายน่าจะหล่นเอาหัวกระแทกพื้นไปเลย...”

แมททิวผลักอิกฐาออกไปแล้วลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด บรรดาภูติที่นั่งเงียบๆบนเตียงต่างสัมผัสได้ถึงสถานการณ์เร่งด่วนและตื่นตัวขึ้น เข้าไปยังกระเป๋าคาดเอวของเจ้าของ เมื่อทุกคนสำรวจกันแล้วว่าไม่มีใครบาดเจ็บ เสียงตะโกนของทหารเรือคนหนึ่งก็ดังมาจากประตูที่เปิดออก

“พวก พวกเธอ สงบสติอารมณ์แล้วฟัง! ท้องเรือลำนี้ไปครูดกับหินโสโครกและน้ำกำลังท่วมเข้ามา ตอนนี้กัปตันเรือมีคำสั่งให้สละเรือ คนที่เดินไหวให้ไปที่ดาดฟ้าเรือทันทีแล้วทำตามคำสั่งของกะลาสี ลงเรือเล็กไป!”

เสียงสั่งแหลมสูงจากลางหายนะที่ใกล้เข้ามา เกยหินโสโครก น้ำท่วม สละเรือ ---ถ้อยคำพวกนี้ทำให้ทุกคนนึกถึงจุดจบที่แน่นอนเพียงอย่างเดียว พร้อมทั้งความสิ้นหวัง

“ทุกคน ได้ยินแล้วนะ ไปที่ดาดฟ้ากัน!”

ถึงอย่างนั้น มีคนหนึ่งที่ทิ้งความคิดแง่ลบไปทันทีแล้วเริ่มเคลื่อนไหว ยาโทริ อิกเสม

“ไม่ต้องรีบ ตั้งแถวเรียงหนึ่งต่อจากฉันแล้วตามมา! เอาสัมภาระไปให้น้อยที่สุด!”

คนที่สามารถควบคุมรอบข้างได้โดยไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์เช่นนี้คือคนอย่างยาโทริ เธอมีความเป็นผู้นำสามารถสร้างความเป็นระเบียบขึ้นมาในความวุ่นวายต่อหน้าสถานการณ์เร่งด่วนได้ทันที

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเสียความเยือกเย็นไป

ยาโทริวิ่งนำทั้งหมดขึ้นบันไดไปถึงดาดฟ้า สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาคือสายฝนกระหน่ำกับพายุแรง เสากระโดงที่หนากว่าเอวผู้ใหญ่ส่งเสียงเอียดอาดเพราะแรงลม ยิ่งกว่านั้นยังมีเหล่ากะลาสีเสี่ยงชีวิตดึงใบเรือที่ถูกลมพัดโป่งและสะบัดอย่างบ้าคลั่งลงมา ท้องเรือจมลึกกว่าปกติ 20 เท่าแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาใกล้ค่ำท้องน้ำล่วงสู่ความมืด พวกเขาทำงานอยู่ท่ามกลางความมืดสนิท

“พายุสินะ ในสถานการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องใหญ่เลย พวกเราเป็นสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ”

“เพราะใครทำตัวไม่ดีกันนะ คนที่นึกออกยกมือซิ”

“ไม่ต้องคิดก็มีแต่นายคนเดียวหรือไม่ใช่ จากนี้ไปห้ามเอาพระคัมภีร์มาล้ออีกนะ[3]

ขณะรับส่งมุกตลกกับอิกฐาอย่างสบายๆ ยาโทริในฐานะผู้นำกลุ่ม หันไปทางด้านหลังของดาดฟ้า ที่นั่นมีเรือเล็กสี่ลำเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังปล่อยเรือลำหนึ่งออกจากมือของกะลาสีไปสู่ท้องทะเล คำสั่งจากบรรดากะลาสีส่งมายังกลุ่มของยาโทริที่มายืนรอบๆเรือ

“คนที่มาขึ้นเรือเลย! พวกเธอพลเรือนขึ้นก่อน!”

ยาโทริชะงักไปเล็กน้อยกับคำว่า‘พลเรือน’ แต่แล้วก็สลัดอารมณ์อ่อนไหวทิ้งไปแล้วเคลื่อนไหวต่อ ให้ฮาโรขึ้นเรือเป็นคนแรก แล้วจึงเป็นตาของแมททิว ทอร์เวย์ และอิกฐา จากนั้นก็ตัวเองเป็นคนสุดท้าย เมื่อทุกคนขึ้นเรือแล้ว ทหารเรือมองอิกฐาแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด

“คู่หูเธอเป็นภูติแสงสินะ ฟังนะ เพราะเรือเกยหินโสโครกเลยมีทหารเรือบางคนได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้พวกเราไม่สามารถลงเรือลำนี้ได้ เรือเล็กทุกลำผูกกับเรือแม่ดังนั้นมันจะไม่หลุดไป แต่ถ้าเวลานั้นมาถึง เชือกก็ต้องถูกตัดออกเพื่อปล่อยพวกเธอไป ในตอนนั้นให้ส่งสัญญาณที่อยู่ไปยังเรือใกล้ๆด้วยสัญญาณแสง ไม่ว่าจะถูกพัดไปไกลแค่ไหน ให้พยายามอยู่ด้วยกันไว้!”

เมื่อเห็นอิกฐากับคุสุพยักหน้าพร้อมๆกันแล้ว ทหารเรือผ่อนเชือกให้เรือที่บรรทุกพวกเขาลงบนพื้นทะเล เรือเล็กถูกทิ้งลงสู่ทะเลปั่นป่วน โคลงตัวไปมาอย่างรุนแรง ไม่อนุญาตให้คนที่มันบรรทุกไว้มีความรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตอยู่

“นี่...นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ ทะเลปั่นป่วนขนาดนี้ จะมีเรือลงมาได้กี่ลำ...!”

“ม่าคุง เอนไปทางขวาอีกนิด! เบคเคลซังไปทางซ้าย! เราต้องกระจายน้ำหนักให้เรือสมดุล! คลื่นแบบนี้ถ้าเรือคว่ำไปต้องกู้กลับมาไม่ได้แน่!”

คนที่สองที่สงบสติอารมณ์ลงได้คือทอร์เวย์ เขาออกคำสั่ง แมททิวกับฮาโรที่ยังสับสนอยู่ทำตามอย่างเชื่อฟัง ส่วนอิกฐา ท่ามกลางสายฝนหนักนั้นได้มองเหม่อไปยังเรือแม่ที่กำลังจมลงอย่างรวดเร็ว

“ทำไมเหรออิกฐา พูดอะไรที่ฟังไม่เข้าหูแบบที่ทำบ่อยๆสิ เงียบอย่างนี้แล้วลางไม่ดีเลย”

“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอยึดเอาพฤติกรรมของผมเป็นลางร้าย ...แต่ว่านะยาโทริ นั่นเด็กคนนั้น”

ได้ยินแล้วยาโทริมองตามสายตาอิกฐาไปและเห็นเด็กหญิงที่เจอกันตรงหน้าห้องพักเมื่อไม่นานนี้ เด็กหญิงอยู่บนดาดฟ้าพยายามลงเรือเล็กลำหนึ่ง ไหล่บางสั่นไหวเห็นได้ชัดแม้จะมองจากที่ไกลเช่นนี้ ดูจากอายุแล้วไม่สมควรจะออกเดินทางเพียงลำพังแต่กลับไม่เห็นผู้ร่วมทางคนอื่นเลย

“อ๊ะ!?”

ตอนนั้นก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เรือถูกคลื่นซัดใส่และโคลงอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหญิงที่ยืนริมดาดฟ้าถูกเหวี่ยงลงทะเล ไม่ทันได้กรีดร้อง ร่างเล็กๆนั้นถูกกลืนโดยทะเลมืดมิดแล้วหายไป ทหารเรือคนหนึ่งที่ยังเหลือรอดอยู่บนดาดฟ้าถือห่วงยางแล้วเขม้นตาสีแดงฉานมองไปยังท้องทะเล แต่ช้าไปแล้ว แม้จะพยายามช่วยแต่ร่างนั้นถูกกลบไปในแนวคลื่นนานแล้ว

“แย่ ไม่ดีเลย เธอกำลังตาย”

พูดความจริงที่ใกล้จะเป็นอดีตไปแล้ว อิกฐายืนขึ้นทันควันแล้วถอดเสื้อตัวนอกออก

“คุสุ ถ้าเห็นเด็กคนนั้นอีก ใช้ไฮบีมส่องแสงไปที่เธอให้ด้วยนะ”

“อิกฐา อันตรายนะ อย่าเลย...”

“ช่วยหน่อยนะ”

คุสุได้แต่ยอมรับคำขอร้องของเจ้าของ เลื่อนตัวออกจากกระเป๋าคาดเอวอย่างไม่เต็มใจมายืนตรงกระดานเรือ ยิงลำแสงสว่างจ้าจาก ‘โพรงแสง’ ทำให้ผิวทะเลส่วนหนึ่งสว่างขึ้น อิกฐาหยิบห่วงยางที่อยู่ตรงพื้นเรือแล้วส่งปลายเชือกที่มัดกับห่วงยางไว้แล้วให้ยาโทริ

“ถ้าปล่อยเชือกไปง่ายๆจะกลับมาหลอกหลอนเธอแน่”

“เดี๋ยว...นาย...!”

โดยไม่ปล่อยให้ยาโทริได้คิด อิกฐาพุ่งลงในมหาสมุทรอย่างไม่สะทกสะท้านกับคลื่นคลั่งแล้วขยับแขนขาแหวกน้ำไปเรื่อยๆ ตรงไปยังบริเวณที่แสงส่องอยู่ ขณะที่เขาเกือบจะกลืนไปในความมืดของมหาสมุทร ทุกคนบนเรือได้แต่กลั้นลมหายใจรอ

“ฮ้า!”

ผ่านไปสิบกว่านาทีที่ยาวนานเหมือนชั่วชีวิตของคนรอ อิกฐาโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ กอดร่างของเด็กหญิงที่นิ่งเหมือนศพไว้ ยาโทริและคนอื่นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

“ไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว! ช่วยด้วย!”

ทั้งสี่ตอบรับเสียงร้องโหยหวนด้วยการดึงเชือกเข้ามา ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลของเรือที่โคลงเคลงไปด้วยทำให้การดึงคนเพียงแค่สองคนก็ยังเป็นเรื่องยาก

“ซื้ด...ซื้ด... เกือบไปแล้ว ...น้ำทะเลเค็มชะมัด...”

“หนวกหูน่ะ ไหนๆก็ทำเท่แล้วก็ทำให้ตลอดสิ... ฮาโร เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่ได้ดื่มน้ำเค็มเข้าไป ลมหายใจกับชีพจรก็เป็นปกติค่ะ ดูเหมือนจะยังตกใจอยู่แต่...”

เด็กหญิงนอนเงียบหนุนตักฮาโร ในตอนนั้นดูเหมือนว่าดวงตาที่หรี่ปรือจะกลับมามีเหตุผลเหมือนเดิมได้ในไม่นาน แต่หากได้หลบไปโดยไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นกำลังเผชิญอยู่อาจจะเป็นโชคดีกว่า

“ดูเหมือนจะไม่มีแผลหรือรอยฉีกขาดนะ เอ๋? นี่...”

ยาโทริแบ่งงานกับฮาโรตรวจสอบร่างกายของเด็กหญิงเพื่อหารอยแผล ความสนใจถูกดึงไปที่แหวนตรงนิ้วกลาง ชิ้นงานประณีตซึ่งใช้เป็นตราสัญลักษณ์ด้วย แต่นอกเหนือจากความรู้สึกว่าคงแพงแล้ว แบบของตราสีทองบนฐานสีเงินคุ้นตามากเหลือเกิน

“ไม่ได้แล้ว ทางนี้จมแน่ จะตัดเชือกล่ะ!”

เสียงตะโกนทำให้ความคิดของยาโทริหยุดชะงัก คลื่นซัดใส่เรืออีกเหมือนเป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย การจมของเรือแม่มาถึงขอบเขตที่ไม่อาจกู้คืน ด้วยความยึดมั่นในหน้าที่ ทหารเรือที่เหลืออยู่บนเรือที่กำลังจมนั้นตัดเชือกโยงเรือเล็กออก นั่นกลายเป็นหน้าที่สุดท้ายในชีวิตของพวกเขา เรือที่บรรทุกพวกอิกฐาถูกตัดสายเชือกที่โยงกับเรือแม่ออก และเริ่มเคลื่อนห่างไป

“ไม่จริง...คนที่หลบออกมาได้มีแต่พวกเราเหรอ?”

คราวนี้แม้แต่ยาโทริยังขบริมฝีปากมองเรือแม่ที่ได้แต่รอให้จมสนิทด้วยสีหน้าซีดเซียว ด้านหลัง แมททิวโบกมือไปมาแล้วร้อง

“แล้ว...แล้วจะทำยังไง! ถูกทิ้งไว้กลางพายุในเรือเล็กอย่างนี้ ก็เหมือนรอความตายไม่ใช่เหรอ! ฉันมาสอบนะทำไมต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย!”

“ม่าคุง อยู่นิ่งๆ! ถ้าเรือล่มจะตายกันหมดนะ!”

ทอร์เวย์รวบแขนของแมททิวที่กำลังเสียสติไว้ด้านหลังแล้วกดลง อีกด้าน ฮาโรกำลังกอดร่างของเด็กหญิงที่กำลังสลบแน่นแล้วสะอื้นเบาๆ

“เรา เราจะตายหรือคะ... ยัง ยังมีอะไรที่พอจะทำได้...”

“ทำสิ่งที่ทำได้ สำหรับตอนนี้คือผ่านพายุนี้ไปให้ได้”

ยาโทริกล่าวด้วยเสียงมั่นคงราวจะให้คำแนะนำแก่ทุกคนรวมทั้งตัวเอง ด้วยความคิดเดียวกัน อิกฐาตอบรับคำแนะนำของยาโทริทั้งๆกำลังจาม

“ฮัดเช้ย! ...ถูกอย่างที่ยาโทริพูด เรื่องข้างหน้าเป็นเรื่องของโชคแล้ว จนกว่าพายุจะหยุดเราทำอะไรไม่ได้หรอก พักให้มากที่สุด จากนี้ไปปล่อยให้พระเจ้าจัดการงานเองเถอะ”




  1. 買いかぶりすぎ (ตีค่าคนอื่นสูงเกินไป); พ้องเสียงกับคำว่า: 貝かぶりすぎ (วางหอยไว้บนหัวคนอื่นมากเกินไป)
  2. Over capacity - กำลังการผลิตส่วนเกิน - ในที่นี้แปลว่านายทหารที่ทำงานได้ทีละอย่างมีมากเกินไป ดังนั้นถ้าไม่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ก็อาจสอบไม่ผ่าน
  3. 聖典 (คัมภีร์); พ้องเสียงกับ: 晴天 (อากาศดี)
Back to บทนำ Return to หน้าหลัก Forward to