Tenkyou no Alderamin-TH:Volume 1 Prologue

From Baka-Tsuki
Jump to navigation Jump to search

บทนำ[edit]

“บางที อัจฉริยะคงมีอยู่สองประเภทสินะ--”

บาจินคิดขณะกระโดดลงบันไดมืดสลัวทีละสามขั้น

ประเภทผู้กล้าที่ปรากฏตัวเมื่อถูกเรียกร้อง กับประเภทแปลกประหลาดที่โผล่ออกมาเองโดยไม่ได้ขอ ประเภทไหนก็ไม่ได้ดีหรือแย่ไปกว่ากัน แต่เท่าที่บาจินพูดได้จากประสบการณ์ตรงคือ ปัญหาที่คนธรรมดาประสบเมื่ออยู่กับคนประเภทหลังนั้นไม่อาจเรียกว่าเป็นปัญหาทั่วไปเลย

“ศาสตราจารย์ เข้าไปนะครับ!”

ตามลูกถีบที่มุ่งเป้าใส่ประตูที่ไม่พอดีกับวงกบเข้าไปในห้อง อากาศที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อึดอัดเสมอของห้องทดลองใต้ดินก็ลอยมาทักทาย กระดาษจดข้อความ บอยล์ลิ่งชิบสำหรับกันการเดือดพลุ่ง และข้าวของต่างๆราวๆนี้กองระเนระนาดบนพื้นชนิดแทบไม่มีที่ให้วางเท้า

“วะ? โหย... เพิ่งจะทำความสะอาดไปเมื่อวาน...”

บาจินถอนหายใจทันทีแต่แล้วก็รวบรวมกำลังใจขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วแล้วเดินต่อโดยไม่สนใจของที่วางเกลื่อน เขาต้องสนใจอะไรกันเล่า? ถึงอย่างไรเสียของแทบทั้งหมดในห้องนี้ก็ไม่ขยับไปไหน

“ศาตราจารย์! ตอบด้วยครับ ศาสตราจารย์อนาลัย!”

เมื่อเขาตะโกนดังขึ้น บางอย่างในส่วนลึกสุดของห้องแสงสว่างไม่เพียงพอนี้ก็ขยับตัว ชายชราร่างเล็กยืดหลังขึ้น มือข้างหนึ่งถือโคมไฟ เขาปรากฏตัวพลางปัดเสื้อโค้ทขาวเปื้อนสี

“อย่าตะโกนสิ บาจิน ฉันเกือบทำขั้นเก็บรายละเอียดพังเชียวนะ”

มือขวาของชายชราถือแปรงทาสีสีเหลืองอ่อน บาจินขมวดคิ้ว

“ขั้นเก็บรายละเอียดนี่...ที่ต้องเอาแปรงทาสีออกมาด้วย กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?”

“อืม ดูไหม? แต่สียังไม่แห้งนะ”

เมื่อเขาตามอนาลัยไปยังส่วนลึกของห้อง ตรงนี้มีตุ๊กตาสีแดง น้ำเงิน เขียวและเหลืองสี่ตัวเรียงกัน จะเรียกว่าหุ่นยนต์รูปแบบมนุษย์ก็ได้แต่พวกมันสูงแค่เข่าของบาจินและมีศีรษะใหญ่แขนขาเล็ก ว่าไปแล้วรูปร่างของพวกมันเหมือนตัว SD ที่หัวใหญ่กว่าตัวสองเท่าครึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครเรียกร่างนี้ว่าหุ่นยนต์รูปแบบมนุษย์ เพราะ แม้สิ่งเหล่านี้จะสวมร่างอย่างนี้และเป็นตัวตนที่แตกต่างจากมนุษย์ แต่พวกเขาคงอยู่ในธรรมชาติเคียงข้างมนุษย์ เป็นสิ่งที่เรียกว่า---

“---จิตวิญญาณแห่งมหาธาตุทั้งสี่...หรือครับ?”

“ใช่แล้ว ผลงานของอนาลัย คาน ‘วิญญาณประดิษฐ์’ รุ่นทดลอง”

ถูกกระตุ้นโดยอนาลัยซึ่งพ่นลมออกจากจมูกอย่างภาคภูมิ บาจินหันกลับมาดูตุ๊กตาเริ่มจากทางขวาไปทีละตัว เริ่มจากตัวแรก ...ตุ๊กตาที่ถูกทาสีเขียว ตรงท้องมีรูกลมๆที่เลียนแบบจาก ‘ช่องลม’ ของจริงเปิดอยู่ มีลมพัดออกมาจากในนั้น

“นี่คือภูติลมสินะ พลังมัน...”

บาจินโน้มตัวมองผ่านรู สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาคือใบพัดหกแฉกที่สร้างกระแสลม ถัดไปเป็นสิ่งที่อยู่ด้านตรงข้าม เขาแน่ใจว่าเห็นสัตว์ตัวเล็กๆวิ่งไม่หยุดบนจักรที่เชื่อมกับใบพัด ถ้าฟังดีๆจะได้ยินเสียงฉึกฉักด้วย

“...หนูเหรอครับ...”

“มันเข้ามาอยู่แถวนี้น่ะ และอีกอย่าง สำหรับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนมาเป็นต้นกำเนิดพลังงานแล้ว ไม่มีตัวเลือกอื่นนี่นา”

“พูดสั้นๆคือเรายกทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของหนูสินะครับ”

บาจินเสียดสี แสดงความผิดหวังต่อผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมา แล้วหันไปสนใจ ‘วิญญาณประดิษฐ์’ ถัดไป

“อันนี้เป็นสีน้ำเงินจึงเป็นภูติน้ำ...เข้าใจล่ะ น้ำออกมาจาก ‘ท่อส่งน้ำ’ บนตัวสินะ”

“ตรงส่วนหัวกับลำตัวใช้ระบบเปิด-ปิด ลองเปิดแล้วดูข้างในสิ”

ตามที่อนาลัยบอก เมื่อเปิด ‘ภูติน้ำ’เพื่อดูข้างใน อย่างแรกคือมีถังน้ำเล็กๆอยู่ในหัว ในถังน้ำนั้นมีหินขนาดต่างๆเรียงกันเป็นชั้น จากหินหยาบขนาดเท่าลูกตาจนถึงทรายละเอียด และน้ำโคลนขังอยู่บนสุด น้ำสะอาดไม่เพียงแต่ซึมจากกระดาษกรองที่แผ่อยู่ด้านล่างสุดของถังน้ำเท่านั้น ยังรินเข้าไปในท่อที่ส่งไปยังอวัยวะที่ดูเหมือนก๊อกน้ำ ซึ่งหากเป็นภูติน้ำของจริง ตรงนี้จะเรียกว่า ‘ท่อส่งน้ำ’

“...นี่มัน ใช่เลย มันคือของที่ศาตราจารย์ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ‘เครื่องกรองน้ำ’ นี่ครับ”

“ใช่ ทำอย่างนี้แล้วความสกปรกจะถูกกรองออกจากน้ำ และเราจะได้น้ำสะอาด”

บาจินลองดื่มน้ำที่หยดลงในแก้วชาที่วางอยู่ใต้ก๊อก เขาขมวดคิ้ว

“...ศาสตราจารย์ครับ แต่น้ำนี่เหม็นโคลนมากเลย”

“เรื่องดื่มได้ดูไม่น่าจะมีปัญหา แต่ที่ยุ่งยากคือความคงทนของกระดาษกรองกับความหนาของเยื่อกระดาษ”

ขณะที่ทึ่งกับอนาลัยที่พูดอย่างไม่ใส่ใจ บาจินมองไปยังภูติตัวถัดไป นอกจากสีแล้ว ยังมีจุดที่แตกต่างจากสามตัวอื่น คือมีฝาครอบลงบนมือแต่ละข้างที่ยกขึ้นเหมือนกำลังทำท่าบันไซ

“ต่อไปคือภูติไฟ...ถ้าอย่างนั้น อย่างที่คิดไว้เลย ไฟจะออกมาจาก ‘ท่อเพลิง’ ที่มือใช่ไหมครับ?”

“อืม ลองดูสิ”

ถอดฝากลมที่ครอบมือออก อนาลัยหยิบหินไฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล็บโค้ทอย่างคล่องแคล่วแล้วจ่อมันเข้ากับ ‘ภูติไฟ’ อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาคิดว่าจะเกิดประกายไฟขึ้นเมื่อหินกระทบกันหรือเปล่า ไฟก็ลุกพลุ่งขึ้น

“หวา! อันตราย!”

“ภายใน ‘ภูติไฟ’ นี้คือน้ำมันกลั่นบริสุทธิ์ อย่างที่เธอรู้ เมื่อปล่อยสสารที่เรียกว่าน้ำมันไว้เฉยๆมันจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นไอ หรือที่เรียกว่าระเหย น้ำมันระเหยออกมาจากรูตรงมือของมัน ฉันจึงขังมันไว้ในฝาแล้วจุดไฟ ตามนั้น”

“แทนที่จะอธิบาย กรุณาคิดถึงข้อดีข้อเสียของการทำอย่างนั้นในห้องที่เต็มไปด้วยของติดไฟได้ทีเถอะครับ!”

ขณะปัดปลายแขนเสื้อที่ไหม้นิดๆ บาจินเบนสายตาที่มีน้ำตาคลอไปที่ ‘วิญญาณประดิษฐ์’ลำดับสุดท้าย เช่นเดียวกับภูติลมตัวแรก มีรูตรงกลางลำตัวของมัน ตรงรูที่ครอบแก้วไว้นี้มีแสงลึกลับจางๆส่องออกมา

“’โพรงแสง’ในตัว...ภูติแสงสินะ แต่แสงนี่ มายังไง...”

ด้วยความสงสัยบาจินจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วมองเข้าไปในรู อีกด้านของครอบแก้วมีเงานับไม่ถ้วนขยับตัววุ่นวาย ทันทีที่เขานึกได้ว่ามันคืออะไร สิ่งนับร้อยนั้นก็ปล่อยแสงเล็กๆออกมาจากหาง ขนลุกทั่วร่างบาจินแล้วเขาถอยกลับ

“มะ-แมลงแสงไม่ใช่หรือครับ! เสียงน่าขยะแขยงชะมัด ไปจับมาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้ครับ!?”

“ไม่ใช่เสียงน่าขยะแขยงนะ! ก่อนจะมีอารมณ์รังเกียจ ถ้าเป็นผู้ช่วยของฉันก็จงมองธาตุแท้ของทุกสิ่งสิ แมลงเหล่านี้น่ะ คือหลักฐานมีชีวิตที่สอนเราว่า ‘แสง’ ที่เป็นเอกเทศจาก ‘ไฟ’ และ ‘อุณหภูมิสูง’ นั้นไม่ได้มีแต่ภูติแสงอย่างเดียวที่สร้างขึ้นมาได้”

“ม-ไม่ ก็อาจจะใช่แต่ว่า...”

พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะไล่ภาพติดตาของแมลงที่ปล่อยแสงไหม้ตา บาจินมองหน้าของอาจารย์ของเขาที่เตี้ยกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ

“...ศาสตราจารย์ครับ พูดตามตรงนะ ครั้งนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ”

“หืม...?”

“จุดประสงค์ในการสร้าง ‘วิญญาณประดิษฐ์’ พวกนี้ขึ้นมาไงล่ะครับ ก็รู้ว่าศาสตราจารย์ศึกษาและสังเกตจิตวิญญาณมานานแล้ว แต่ของเลียนแบบตลกๆพวกนี้ทำอะไรได้หรือครับ นอกจากการท้าทายศาสนาอย่างไม่ยั้งคิดแล้วนึกอย่างอื่นไม่ออกเลย อย่าบอกนะว่าคิดว่าสามารถประดิษฐ์วิญญาณขึ้นมาได้จริงๆ”

“เธอก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้รึ”

“มันยากไม่ใช่หรือครับ ในตอนนี้เราสร้างแมลงไม่ได้สักตัวด้วยซ้ำ”

อนาลัยจ้องอย่างสงบไปที่สิ่งประดิษฐ์รุ่นทดลองทั้งสี่ชิ้น ไม่คิดหักล้างความเห็นรุนแรงนั้นแม้แต่น้อย ความคิดของชายชราผู้ทรงภูมิความรู้เป็นสิ่งที่ยากหยั่งถึง แต่ตอนนี้บาจินไม่มีเวลาจะเดาชุ่ยๆ

บาจินหันไปทางอนาลัยแล้วยื่นกระดาษที่กำแน่นมาตลอดให้โดยไม่เอ่ยอะไร

“...อะไรนี่?”

“น่าจะพอเดาออกนะครับ คำเตือนครั้งสุดท้ายจากโบสถ์อัลดีรา! เวลาเป็นสิ่งมีค่าดังนั้นจะสรุปให้ฟังเลยแล้วกัน... “ถึงผู้หมิ่นพระเจ้า อนาลัย คาน แม้จะถูกตักเตือนมาหลายครั้งแต่กระทั่งบัดนี้การทดลองของคนผู้นั้นยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมย์ของพระเจ้า การกระทำดังกล่าวข้ามขีดความอดทนของพระเจ้า ก่อนเที่ยงถัดจากนี้สามวัน จงนำผลการทดลองชั่วร้ายมามอบตัวยังโบสถ์ หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษทัณฑ์ในฐานนอกรีต จนกว่าจะพบกันใหม่”...”

บาจินอ่านมาถึงตรงนี้ อนาลัยกระแอมแล้วหัวเราะถากถาง

“ผู้หมิ่นพระเจ้าหรือถูกคนของลัทธิเกลียดกันแน่... สรุปว่า ให้รับผิดชอบผลของการทดลองและภายในสามวันต้องไปขอโทษที่โบสถ์?”

“นั่นแหละครับ ถึงจะเคยถูกเตือนมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ความดุเดือดต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องพูดถึงสามวันหรอก พรุ่งนี้ผู้ถือไม้เท้าเหล็กที่ทำหน้าที่สอบสวนพวกนอกรีตก็อาจมาเคาะประตูนี้แล้ว”

“ถ้าเอาจริงก็คงเป็นอย่างนั้นล่ะ เราสูญเสียการสนับสนุนจากกองทัพไปแล้วแลกกับการเลี่ยงโทษประหาร”

“ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นนะครับ ...ถึงตอนนี้ แม้ผม ‘ศิษย์ของอนาลัย’ผู้ต่ำต้อยจะตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะตามไปถึงนรก แต่ศาสตราจารย์ คิดจะทำอย่างไรต่อไปครับ?”

ผู้ช่วยเอ่ยปากถามเสียงจริงจัง อนาลัยถอนหายใจและมองภายในห้อง

“...ณ โลกแห่งนี้ แสงพระเนตรแห่งพระเจ้าสาดส่องทั่วไป ไม่ทรงสำราญพระราชหฤทัยกับแทบทุกสิ่งเหนือแดนดิน จากวรรณกรรมถึงถ้อยคำ แต่ละถ้อยแต่ละความ จนกว่าจะสถิตในใจทุกดวงของประชา พระเจ้าพระองค์นั้นจะเฝ้าทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์...”

“...”

“ทรงไม่เกษมสำราญ แม้เราจะหลบอยู่ในห้องทดลอง แม้เพียงระหว่างทดลองหากได้ฝันใฝ่ถึงการหลงลืมพระองค์ ที่อับชื้นมืดมัวก็เป็นสวรรค์ ถึงเวลาแล้วหรือที่เราจะไปอยู่ตรงหน้าความพิโรธของพระองค์อย่างเปลวเทียนท่ามกลางสายลม?”

“คิดดูนะครับ นักเทววิทยาของศาสนาน่ะจะไม่เข้าใจ ‘วิทยาศาสตร์’ ของอาจารย์แน่ไม่ว่าจะอธิบายยังไงก็ตาม ‘พื้นฐานความรู้ทุกอย่างต้องมีพระเจ้าทรงอยู่’ ... ความเชื่อคำประกาศของนักเทววิทยาแห่งอัลดีราอย่างไม่ลืมหูลืมตานี่ล่ะที่ทำให้ไม่มีทางตระหนักถึงความจริงที่ถ่องแท้”

“ใช่แล้ว ‘วิทยาศาสตร์’ วิชาของมนุษย์ผู้หมดอาลัยต่อพระเจ้า ตรงนั้นตรงนี้ คือทั้งหมดที่เราศึกษาอยู่ในนี้”

ในตอนที่อนาลัยพึมพำอย่างเรียบเฉยนี่เอง เสียงกระดิ่งสั่นดังลงมาจากหลังคาเป็นคำเตือนที่ทำให้รู้สึกเย็นเฉียบ หลังจากนั้น ประตูเหล็กที่กั้นพื้นที่อยู่ส่งเสียงเอียดอาดจากการเคาะรุนแรง ทั้งสองคนร่างแข็งทื่อและสบตากัน

“...ไม่รอให้พ้นวันส่งจดหมายไปก่อนแม้แต่วันเดียวเลย อย่างที่คาดไว้เลย อารมณ์ร้อนกันจริง”

งึมงำอย่างประหลาดใจ อนาลัยหันกลับแล้วเดินไปถึงโต๊ะของตนเองได้ครึ่งทางแล้ว ชะงักอยู่ครู่หนึ่งตรงนั้น เปลี่ยนใจ แล้วเริ่มเก็บข้าวของอย่างไม่คาดหมาย

“---บาจิน ไม่ใช้ที่นี่ทดลองแล้ว ทิ้งมันให้หมดยกเว้นข้อมูลที่คงจะค้างอยู่ ผลการทดลองทั้งหมดอยู่ในหัวของฉันกับเธอแล้ว ถึงอย่างไรการศึกษาเรียนรู้ก็ทำได้ไม่จู้จี้เรื่องสถานที่อยู่แล้ว ส่วนจะทำอย่างไรต่อไป มาหลบหนีอย่างเหนือชั้นไปจากดวงตาของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กันเถอะ”

“ค--ครับ!...แต่ศาสตราจารย์ ได้คาดการณ์ถึงที่ต่อไปไว้ไหมครับ? ไม่ว่าเราจะหลบไปที่ไหนในดินแดนนี้ จักรวรรดิกตวรรณ ลัทธิคงกัดไม่ปล่อย...”

“เพิ่งพูดไปนะว่าการเรียนรู้ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ ที่ๆคิดไว้ไม่จำเป็นต้องเป็นภายในอาณาจักรนี้นี่ สาธารณรัฐคิโอก้าที่อยู่ติดกันมีสมรรถภาพมากพอจะตั้งตัวเป็นที่หนึ่งในฐานะประเทศแห่งศิลปวิทยาการและยอมรับคนอย่างพวกเรา”

“คิโอก้า...!? กำลังทำสงครามกับอาณาจักรอยู่นะครับ! มีเส้นสายสำหรับขอลี้ภัยได้หรือครับ!?”

“แม้แต่ที่นั่นก็พอจะมี ‘ศิษย์ของอนาลัย’ อยู่นิดหน่อย เจรจาต่อรองกันทางจดหมายน่ะ ไม้เท้ามีไว้กันล้ม[1]ใช่ไหมล่ะ?...เอาล่ะ บาจิน ภูติไฟคู่หูเธออยู่ไหน?”

“อะ ครับ ระกะตอนนี้กำลังเผาขยะที่เตาเผาข้างหลัง แต่...”

“อย่างนั้นเตาเผาก็มีไฟอยู่ล่ะสิ พอดีเลย มีของที่ไม่อยากให้พวกหัวแข็งจิตใจคับแคบพวกนั้นได้ไปอยู่ เธอล่วงหน้าไปก่อนแล้วคอยคุมไฟไว้ นี่ล่ะสิ่งที่คนที่’ไม่เป็นที่ต้อนรับ’อย่างฉันจะขอจากเธอ”

เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว บาจินสาวเท้าออกไปทางประตูหลังแล้วรีบขึ้นบันไดที่นำขึ้นไปสู่พื้นดิน

เมื่อมองส่งร่างที่หันหลังไปนั้นแล้ว อนาลัยกลับมามองโต๊ะของตัวเอง ยกกระดาษปึกหนาที่มัดด้วยด้ายอย่างระมัดระวังขึ้นมาอุ้มไว้ด้วยสองมือ

“บันทึกการสนทนาระหว่างฉันกับลูกศิษย์ที่กระจายกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ... ถ้าไม่เยอะนักก็อยากเอาไปคิโอก้าด้วย แต่จำนวนขนาดนี้คงยากนะ”

สายตาจ้องบรรดาจดหมาย ขณะงึมงำชื่อของผู้ส่งทีละชื่อทีละชื่อ อนาลัยเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ ตอนนี้ไม่แยแสว่าผู้ตามล่ากำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว สำหรับนักปราชญ์ชราคนนี้ พวกเขาเทียบกับจดหมายที่ส่งมาจากเหล่าลูกชายลูกสาวที่แยกกันไกลไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ยอร์ก้าเก่งกาจด้านคณิตศาสตร์ มิลบาเกียชื่นชอบตรรกศาสตร์ นาสึนะสามารถอธิบายข้อถกเถียงยากๆให้ฟังง่ายและอยากเป็นผู้ช่วย อิกฐา...”

ขณะที่ชื่อนั้นหลุดออกจากปาก เสียงบรรยายก็แผ่วค่อยลง ยิ่งกว่าความคิดถึง ยิ่งกว่าความรัก ---ต่อเจ้าของชื่อนั้น คือความทรงจำอันปวดร้าวเข้ามาครอบงำอนาลัย

“อิกฐา โซลอค เอาหลักการ ‘วิทยาศาสตร์’ ที่ฉันสอนไปเปลี่ยนเป็นแนวประหลาดของตัวเองไปแล้ว เป็นเด็กเฉลียวฉลาดเหมือนเธอนั่นล่ะ บาดะ จงหลับอย่างภูมิใจเถอะ”

เมื่อขึ้นมาถึงพื้นดิน ขณะเปิดหน้าต่างเหล็กบนกำแพงอิฐ เปลวไฟในเตาเผาขยะที่อยู่อีกด้านกำลังลุกโชนอยู่แล้ว หลังจากเอาชนะความลังเลเล็กน้อยแล้วโยนจดหมายปึกหนาลงไป อนาลัยยืนนิ่งเบื้องหน้าความทรงจำที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“จนกว่าเหตุการณ์จะลงตัว ลากันชั่วคราวนะ ศิษย์ของอนาลัยทั้งหลาย หวังว่าจะพบกันใหม่คราวหน้า ในวิเวกแห่งเหตุผลที่เนตรของพระเจ้าทอดมาไม่ถึง”

ล่ำลาจบแล้ว อนาลัยปิดหน้าต่างป้อนขยะลง หันเท้าเดินจากไปไม่เหลียวกลับมามองเป็นครั้งที่สอง

ปีแห่งจักรวรรดิที่ 904 ‘นักวิทยาศาสตร์’ แห่งประวัติศาสตร์ยุคแรก อนาลัย คานและผู้ช่วยหนึ่งคนหลบหนีออกจากจักรวรรดิกตวรรณ ต่อมาได้ทำการทดลองต่อในประเทศที่ขอลี้ภัย ณ สาธารณรัฐคิโอก้า



  1. proverb: 転ばぬ先の杖 (A stitch in time saves nine, prevention is better than the cure) สำนวนแปลว่ากันไว้ดีกว่าแก้
Back to Return to หน้าหลัก Forward to บทที่ 1